📜

พฺราหฺมณกุลวิจารณา

. อถ ‘‘พฺราหฺมณมาณโว’’ติ ปทมฺปิ เตน เอวํ วิจาริตํ –

(ก) ‘‘พุทฺธโฆโส ‘พฺราหฺมณกุลชาโต’ติ น สกฺกา คเหตุํ. กสฺมา เวทกาลโต ปฏฺาย ยาวชฺชตนา สพฺเพปิ พฺราหฺมณา

พฺราหฺมโณสฺย มุขมาสีทิ, พาหู ราชนฺย? กต?;

อูรู ตทสฺย ยท วคฺย?, ปทฺภฺยาํ คูทฺโร อชายตา’’ติ [อิรุเวท, ๑๐-มณฺฑล, ๙๐; ตถา อถว ๖ เวท ๑๙, ๖, ๖].

อิมํ ปุริสสุตฺตํ นาม มนฺตํ ชานนฺตีติ สทฺทหิยา.

อยํ ปนสฺสา อตฺโถ – ‘พฺราหฺมโณ อสฺส (พฺรหฺมุโน) มุขํ อาสิ. พาหู ราชฺโ กโต, ขตฺติยา อสฺส พาหูติ วุตฺตํ โหติ. โย เวสฺโส, โส อสฺส อูรู. สุทฺโท อสฺส ปาเทหิ อชายี’ติ.

พุทฺธโฆโส ปน ‘ปณฺฑิตพฺราหฺมโณ’ติ าโตปิ ตํ คาถํ น อฺาสิ. ตถา หิ เตน พนฺธุปาทาปจฺจาติ ปทสฺส อตฺถวณฺณนายํ ‘เตสํ กิร อยํ ลทฺธิ – พฺราหฺมณา พฺรหฺมุโน มุขโต นิกฺขนฺตา, ขตฺติยา อุรโต, เวสฺสา นาภิโต, สุทฺทา ชาณุโต, สมณา ปิฏฺิปาทโต’ติ [ที. นิ. อฏฺ. ๑.๒๖๓; ม. นิ. อฏฺ. ๑.๕๐๘] ติสฺสา เวทคาถาย อสมานตฺโถ วณฺณิโต’’ติ.

อยํ ปเนตฺถ อนุวิจารณา – ยทิ จ ตํกาลิกานมฺปิ พฺราหฺมณานํ ลทฺธิ ตเถว ภเวยฺย ยถา เอติสฺสํ คาถายํ วุตฺตา, สา จตฺถวณฺณนา อาจริยสฺส มติมตฺตา. เอวํ สติ สา วิจารณา ยุตฺตา ภเวยฺย. เอติสฺสํ ปน คาถายํ ‘‘พฺราหฺมโณสฺย มุขมาสีทิ’’ติ ปมปาเทน ‘‘พฺราหฺมณา พฺรหฺมุโน มุขโต ชาตา’’ติ อตฺโถ อุชุกโต น ลพฺภติ. พุทฺธกาเล ปน พฺราหฺมณานํ ลทฺธิ ‘‘พฺราหฺมณา พฺรหฺมุโน มุขโต ชาตา’’ติ เอวเมว อโหสีติ ปากโฏเยวายมตฺโถ. ตถา หิ ทีฆนิกาเย ปาถิกวคฺเค อคฺคฺสุตฺเต (๓, ๖๗) –

‘‘ทิสฺสนฺติ โข ปน วาเสฏฺ พฺราหฺมณานํ พฺราหฺมณิโย อุตุนิโยปิ คพฺภินิโยปิ วิชายมานาปิ ปายมานาปิ. เต จ พฺราหฺมณา ๐ โยนิชาว สมานา เอวมาหํสุ – พฺราหฺมโณว เสฏฺโ วณฺโณ, หีนา อฺเ วณฺณา. พฺราหฺมโณว สุกฺโก วณฺโณ, กณฺหา อฺเ วณฺณา. พฺราหฺมณาว สุชฺฌนฺติ, โน อพฺราหฺมณา. พฺราหฺมณาว พฺรหฺมุโน ปุตฺตา โอรสา มุขโต ชาตา พฺรหฺมชา พฺรหฺมนิมฺมิตา พฺรหฺมทายาทาติ. เต พฺรหฺมานฺเจว อพฺภาจิกฺขนฺติ, มุสา จ ภาสนฺติ, พหุฺจ อปุฺํ ปสวนฺตี’’ติ –

ภควตา มหาการุณิเกน วาเสฏฺภารทฺวาชานํ พฺราหฺมณมาณวกานํ ภาสิตํ, เตหิ จ ตํ อภินนฺทิตํ. เต ปน ทฺเวปิ มาณวกา ชาติวเสน ปริสุทฺธพฺราหฺมณา เจว โหนฺติ ติณฺณมฺปิ เวทานํ ปารคุโน จ. ตสฺมา ‘‘พฺราหฺมณา พฺรหฺมุโน มุขโต นิกฺขนฺตา’’ติ วจนสฺส ตํกาลิกานํ พฺราหฺมณานํ ลทฺธิวเสน วุตฺตภาโว ปากโฏเยว. ยถา เจตํ, เอวํ ‘‘ขตฺติยา อุรโต, เวสฺสา นาภิโต, สุทฺทา ชาณุโต, สมณา ปิฏฺิปาทโต’’ติ วจนมฺปิ ‘‘ตํกาลิกพฺราหฺมณานํ ลทฺธิฺูหิ โปราณฏฺกถาจริเยหิ วุตฺต’’นฺติ สทฺทหิตฺวา อาจริยพุทฺธโฆเสน ตํ สพฺพํ โปราณฏฺกถาโต ภาสาปริวตฺตนมตฺเตน วิเสเสตฺวา ปกาสิตํ ภเวยฺย. ตสฺมา ตายปิ เวทคาถาย อาจริยสฺส อพฺราหฺมณภาวสาธนํ อนุปปนฺนเมวาติ.

(ข) ปุนปิ เตน อาจริยพุทฺธโฆสตฺเถรสฺส อพฺราหฺมณภาวสาธนตฺถํ ทุติยมฺปิ การณํ เอวมาหฏํ –

‘‘พฺราหฺมณคนฺเถสุ คพฺภฆาตวาจกํ ภฺรูนหาติ ปทํ ปาฬิยํ ภูนหุ (ภูนหโน) อิติ ทิสฺสติ. มาคณฺฑิยสุตฺเต ภริยาย เมถุนสํวาสาภาเวน อุปฺปชฺชนารหคพฺภสฺส นาสกตฺตํ สนฺธาย มาคณฺฑิโย ปริพฺพาชโก ภควนฺตํ ‘ภูนหุ (ภูนหโน) สมโณ โคตโม’ติ [ม. นิ. ๒.๒๐๗ อาทโย] อาห. ตํ พุทฺธโฆโส น ชานาตีติ ปากโฏเยว ตทตฺถสํวณฺณนาย. ตตฺถ หิ เตน ภูนหุโนติ (ภูนหนสฺสา) ปทํ ‘หตวฑฺฒิโน มริยาทการกสฺสา’ติ [ม. นิ. อฏฺ. ๒.๒๐๗] วณฺณิต’’นฺติ.

ตมฺปิ อยุตฺตเมว. น หิ มาคณฺฑิเยน โผฏฺพฺพารมฺมณาปริโภคมตฺตเมว สนฺธาย ภูนหุภาโว วุตฺโต, อถ โข ฉนฺนมฺปิ โลกามิสารมฺมณานํ อปริโภคํ สนฺธาย วุตฺโต. ตสฺมิฺหิ สุตฺเต –

‘‘จกฺขุํ โข มาคณฺฑิย รูปารามํ รูปรตํ รูปสมฺมุทิตํ, ตํ ตถาคตสฺส ทนฺตํ คุตฺตํ รกฺขิตํ สํวุตํ, ตสฺส จ สํวราย ธมฺมํ เทเสติ, อิทํ นุ เต เอตํ มาคณฺฑิย สนฺธาย ภาสิตํ ‘ภูนหุ สมโณ โคตโม’ติ. เอตเทว โข ปน เม โภ โคตม สนฺธาย ภาสิตํ ‘ภูนหุ สมโณ โคตโม’ติ. ตํ กิสฺส เหตุ, เอวฺหิ โน สุตฺเต โอจรตีติ…เป… มโน โข มาคณฺฑิย ธมฺมาราโม ธมฺมรโต ธมฺมสมฺมุทิโต, โส ตถาคตสฺส ทนฺโต คุตฺโต รกฺขิโต สํวุโต, ตสฺส จ สํวราย ธมฺมํ เทเสติ, อิทํ นุ เต เอตํ มาคณฺฑิย สนฺธาย ภาสิตํ ‘ภูนหุ สมโณ โคตโม’ติ. เอตเทว โข ปน เม โภ โคตม สนฺธาย ภาสิตํ ‘ภูนหุ สมโณ โคตโม’ติ. ตํ กิสฺส เหตุ, เอวฺหิ โน สุตฺเต โอจรตี’’ติ [ม. นิ. ๒.๒๐๗ อาทโย].

เอวํ ภควโต จ อนุโยโค มาคณฺฑิยสฺส จ ปฏิฺา อาคตา.

เอตฺถ หิ เมถุนปฺปฏิเสวนวเสน โผฏฺพฺพารมฺมณปริโภคเหตุ เอว คพฺภปติฏฺานํ สมฺภวตีติ ตทปริโภคเมว สนฺธาย ‘‘ภูนหู’’ติ วตฺตุํ อรหติ, ตทฺเสํ ปน ปฺจนฺนํ รูปาทิอารมฺมณานํ, ตตฺถาปิ วิเสสโต ธมฺมารมฺมณสฺส สุทฺธมโนวิฺาเณน ปริโภคเหตุ นตฺถิ กิฺจิ คพฺภปติฏฺานนฺติ เตสํ อปริโภคํ สนฺธาย ภูนหูติ วตฺตุํ น อรหติเยว, มาคณฺฑิเยน ปน สพฺพานิปิ ตานิ สนฺธาย วุตฺตภาโว ปฏิฺาโต, การณฺจสฺส ทสฺสิตํ ‘‘เอวฺหิ โน สุตฺเต โอจรตี’’ติ. ตสฺมา กิฺจาปิ ทานิ พฺราหฺมณคนฺเถสุ ภูนหุ- (ภฺรูนหา) สทฺโท คพฺภฆาตนตฺเถ ทิสฺสติ, มาคณฺฑิยสุตฺเต ปเนโส อตฺโถ น ยุชฺชตีติ อาจริเยน ‘‘หตวฑฺฒิ มริยาทการโก’’ติ อยเมวตฺโถ โปราณฏฺกถาย ภาสาปริวตฺตนวเสน ปกาสิโตติ เวทิตพฺโพ.

(ค) ปุนปิ เตน ‘‘อิทมฺปน พุทฺธโฆสสฺส อพฺราหฺมณภาวสาธกํ ปจฺฉิมการณํ, โส หิ วิสุทฺธิมคฺเค สีลนิทฺเทเส (๑, ๓๑) พฺราหฺมณานํ ปริหาสํ กโรนฺโต ‘เอวํ อิมินา ปิณฺฑปาตปฏิเสวเนน ปุราณฺจ ชิฆจฺฉาเวทนํ ปฏิหงฺขามิ, นวฺจ เวทนํ อปริมิตโภชนปจฺจยํ อาหรหตฺถก อลํสาฏก ตตฺรวฏฺฏก กากมาสก ภุตฺตวมิตกพฺราหฺมณานํ อฺตโร วิย น อุปฺปาเทสฺสามีติ ปฏิเสวตี’ติ อาห. อิทํ ปน เอกสฺส ภินฺนพฺราหฺมณลทฺธิกสฺสาปิ วจนํ สิยาติ ตเทว ทฬฺหการณํ กตฺวา น สกฺกา ‘พุทฺธโฆโส อพฺราหฺมโณ’ติ วตฺตุ’’นฺติ ตติยํ การณํ วุตฺตํ. ตํ ปน อติสํเวชนียวจนเมว. น เหตํ อาจริเยน พฺราหฺมณานํ ปริหาสํ กาตุกาเมน วุตฺตํ, น จ ตํ ปริหาสวจเนน สํโยเชตพฺพฏฺานํ, อฺทตฺถุ ยถาภูตมตฺถํ ทสฺเสตฺวา สพฺรหฺมจารีนํ โอวาทานุสาสนิทานวเสน วตฺตพฺพฏฺานํ, ตถาเยว จ อาจริเยน วุตฺตํ. ตถา หิ เย โลเก ปรทตฺตูปชีวิโน สมณา วา พฺราหฺมณา วา อฺเ วาปิ จ ปุคฺคลา, เต ปจฺจเวกฺขณาณรหิตา อสํวเร ิตา กทาจิ อติปณีตํ รสํ ปหูตํ ลทฺธา อปริมิตมฺปิ ภุฺเชยฺยุํ, วิเสสโต ปน พฺราหฺมณา โลกิกวตฺถุวเสน จ, ชาตกาทิสาสนิกวตฺถุวเสน จ ตาทิสา อเหสุนฺติ ปากฏา. อิมสฺมิฺหิ โลเก วสฺสสตสหสฺเสหิ วา วสฺสโกฏีหิ วา อปริจฺฉินฺนทฺธาเน โก สกฺกา วตฺตุํ ‘‘เนทิสา ภูตปุพฺพา’’ติ. ตสฺมา ตาทิเสหิ วิย น อปริมิตโภชเนหิ ภวิตพฺพนฺติ โอวาทานุสาสนิทานวเสเนว วุตฺตํ. ตเทวํ อตฺถสํหิตมฺปิ สมานํ อโยนิโสมนสิกโรโต อนตฺถเมว ชาตํ, ยถา สภริยสฺส มาคณฺฑิยพฺราหฺมณสฺส อนาคามิมคฺคผลตฺถายปิ เทสิตา คาถา [ธ. ป. อฏฺ. ๑.สามาวตีวตฺถุ] เตสํ ธีตุยา อนตฺถาย สํวตฺตตีติ สํเวโคเยเวตฺถ พฺรูเหตพฺโพติ.