📜
๓. มาตุคามสํยุตฺตํ
๑. ปมเปยฺยาลวคฺโค
๑. มาตุคามสุตฺตํ
๒๘๐. ‘‘ปฺจหิ ¶ ¶ ¶ , ภิกฺขเว, องฺเคหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม เอกนฺตอมนาโป โหติ ปุริสสฺส. กตเมหิ ปฺจหิ? น จ รูปวา โหติ, น จ โภควา โหติ, น จ สีลวา โหติ, อลโส จ โหติ, ปชฺจสฺส น ลภติ – อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปฺจหิ องฺเคหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม เอกนฺตอมนาโป โหติ ปุริสสฺส. ปฺจหิ, ภิกฺขเว, องฺเคหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม เอกนฺตมนาโป โหติ ปุริสสฺส. กตเมหิ ปฺจหิ? รูปวา จ โหติ, โภควา จ โหติ, สีลวา จ โหติ, ทกฺโข จ โหติ อนลโส, ปชฺจสฺส ลภติ – อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปฺจหิ องฺเคหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม เอกนฺตมนาโป โหติ ปุริสสฺสา’’ติ. ปมํ.
๒. ปุริสสุตฺตํ
๒๘๑. ‘‘ปฺจหิ, ภิกฺขเว, องฺเคหิ สมนฺนาคโต ปุริโส เอกนฺตอมนาโป โหติ มาตุคามสฺส. กตเมหิ ปฺจหิ? น จ รูปวา โหติ, น จ โภควา โหติ, น จ สีลวา โหติ, อลโส จ โหติ, ปชฺจสฺส น ลภติ – อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปฺจหิ ¶ องฺเคหิ สมนฺนาคโต ปุริโส เอกนฺตอมนาโป โหติ มาตุคามสฺส. ปฺจหิ, ภิกฺขเว, องฺเคหิ สมนฺนาคโต ปุริโส เอกนฺตมนาโป โหติ มาตุคามสฺส. กตเมหิ ปฺจหิ? รูปวา จ โหติ, โภควา จ โหติ, สีลวา จ โหติ, ทกฺโข จ โหติ อนลโส, ปชฺจสฺส ลภติ – อิเมหิ ¶ โข, ภิกฺขเว, ปฺจหิ องฺเคหิ สมนฺนาคโต ปุริโส ¶ เอกนฺตมนาโป โหติ มาตุคามสฺสา’’ติ. ทุติยํ.
๓. อาเวณิกทุกฺขสุตฺตํ
๒๘๒. ‘‘ปฺจิมานิ, ภิกฺขเว, มาตุคามสฺส อาเวณิกานิ ทุกฺขานิ, ยานิ มาตุคาโม ปจฺจนุโภติ, อฺตฺเรว ปุริเสหิ. กตมานิ ปฺจ? อิธ, ภิกฺขเว ¶ , มาตุคาโม ทหโรว สมาโน ปติกุลํ คจฺฉติ, าตเกหิ วินา โหติ. อิทํ, ภิกฺขเว, มาตุคามสฺส ปมํ อาเวณิกํ ทุกฺขํ, ยํ มาตุคาโม ปจฺจนุโภติ, อฺตฺเรว ปุริเสหิ. ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, มาตุคาโม อุตุนี โหติ. อิทํ, ภิกฺขเว, มาตุคามสฺส ทุติยํ อาเวณิกํ ทุกฺขํ, ยํ มาตุคาโม ปจฺจนุโภติ, อฺตฺเรว ปุริเสหิ. ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, มาตุคาโม คพฺภินี โหติ. อิทํ, ภิกฺขเว, มาตุคามสฺส ตติยํ อาเวณิกํ ทุกฺขํ, ยํ มาตุคาโม ปจฺจนุโภติ, อฺตฺเรว ปุริเสหิ. ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, มาตุคาโม วิชายติ. อิทํ, ภิกฺขเว, มาตุคามสฺส จตุตฺถํ อาเวณิกํ ทุกฺขํ, ยํ มาตุคาโม ปจฺจนุโภติ, อฺตฺเรว ปุริเสหิ. ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, มาตุคาโม ปุริสสฺส ปาริจริยํ อุเปติ. อิทํ โข, ภิกฺขเว, มาตุคามสฺส ปฺจมํ อาเวณิกํ ทุกฺขํ, ยํ มาตุคาโม ปจฺจนุโภติ, อฺตฺเรว ปุริเสหิ. อิมานิ โข, ภิกฺขเว, ปฺจ มาตุคามสฺส อาเวณิกานิ ทุกฺขานิ, ยานิ มาตุคาโม ปจฺจนุโภติ, อฺตฺเรว ปุริเสหี’’ติ. ตติยํ.
๔. ตีหิธมฺเมหิสุตฺตํ
๒๘๓. ‘‘ตีหิ ¶ ¶ , ภิกฺขเว, ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม เยภุยฺเยน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ. กตเมหิ ตีหิ? อิธ, ภิกฺขเว, มาตุคาโม ปุพฺพณฺหสมยํ มจฺเฉรมลปริยุฏฺิเตน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ. มชฺฌนฺหิกสมยํ อิสฺสาปริยุฏฺิเตน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ. สายนฺหสมยํ กามราคปริยุฏฺิเตน เจตสา อคารํ อชฺฌาวสติ. อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ตีหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม เยภุยฺเยน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชตี’’ติ. จตุตฺถํ.
๕. โกธนสุตฺตํ
๒๘๔. อถ ¶ โข อายสฺมา อนุรุทฺโธ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ. เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา อนุรุทฺโธ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อิธาหํ, ภนฺเต, มาตุคามํ ปสฺสามิ ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชนฺตํ. กตีหิ นุ โข, ภนฺเต, ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม ¶ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชตี’’ติ?
‘‘ปฺจหิ โข, อนุรุทฺธ, ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ. กตเมหิ ปฺจหิ? อสฺสทฺโธ จ โหติ, อหิริโก จ โหติ, อโนตฺตปฺปี จ โหติ, โกธโน จ โหติ, ทุปฺปฺโ จ โหติ – อิเมหิ โข, อนุรุทฺธ, ปฺจหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต ¶ มาตุคาโม กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชตี’’ติ. ปฺจมํ.
๖. อุปนาหีสุตฺตํ
๒๘๕. ‘‘ปฺจหิ ¶ , อนุรุทฺธ, ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ. กตเมหิ ปฺจหิ? อสฺสทฺโธ จ โหติ, อหิริโก จ โหติ, อโนตฺตปฺปี จ โหติ, อุปนาหี จ โหติ, ทุปฺปฺโ จ โหติ – อิเมหิ โข, อนุรุทฺธ, ปฺจหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชตี’’ติ. ฉฏฺํ.
๗. อิสฺสุกีสุตฺตํ
๒๘๖. ‘‘ปฺจหิ, อนุรุทฺธ, ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ. กตเมหิ ปฺจหิ? อสฺสทฺโธ จ โหติ, อหิริโก จ โหติ, อโนตฺตปฺปี จ โหติ, อิสฺสุกี จ โหติ, ทุปฺปฺโ จ โหติ – อิเมหิ โข ¶ , อนุรุทฺธ, ปฺจหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชตี’’ติ. สตฺตมํ.
๘. มจฺฉรีสุตฺตํ
๒๘๗. ‘‘ปฺจหิ, อนุรุทฺธ, ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ. กตเมหิ ปฺจหิ? อสฺสทฺโธ จ โหติ, อหิริโก จ โหติ, อโนตฺตปฺปี จ โหติ, มจฺฉรี จ โหติ, ทุปฺปฺโ จ โหติ – อิเมหิ โข, อนุรุทฺธ, ปฺจหิ ¶ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม…เป… อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชตี’’ติ. อฏฺมํ.
๙. อติจารีสุตฺตํ
๒๘๘. ‘‘ปฺจหิ ¶ ¶ , อนุรุทฺธ, ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม…เป… อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ. กตเมหิ ปฺจหิ? อสฺสทฺโธ จ โหติ, อหิริโก จ โหติ, อโนตฺตปฺปี จ โหติ, อติจารี จ โหติ, ทุปฺปฺโ จ โหติ – อิเมหิ โข, อนุรุทฺธ, ปฺจหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม…เป… อุปปชฺชตี’’ติ. นวมํ.
๑๐. ทุสฺสีลสุตฺตํ
๒๘๙. ‘‘ปฺจหิ, อนุรุทฺธ, ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม…เป… นิรยํ อุปปชฺชติ. กตเมหิ ปฺจหิ? อสฺสทฺโธ จ โหติ, อหิริโก จ โหติ, อโนตฺตปฺปี จ โหติ, ทุสฺสีโล จ โหติ, ทุปฺปฺโ จ โหติ – อิเมหิ โข, อนุรุทฺธ, ปฺจหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม…เป… นิรยํ อุปปชฺชตี’’ติ. ทสมํ.
๑๑. อปฺปสฺสุตสุตฺตํ
๒๙๐. ‘‘ปฺจหิ, อนุรุทฺธ, ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม…เป… นิรยํ อุปปชฺชติ ¶ . กตเมหิ ปฺจหิ? อสฺสทฺโธ จ โหติ, อหิริโก จ โหติ, อโนตฺตปฺปี จ โหติ, อปฺปสฺสุโต จ โหติ, ทุปฺปฺโ จ โหติ – อิเมหิ โข, อนุรุทฺธ, ปฺจหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม…เป… นิรยํ อุปปชฺชตี’’ติ. เอกาทสมํ.
๑๒. กุสีตสุตฺตํ
๒๙๑. ‘‘ปฺจหิ, อนุรุทฺธ, ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม…เป… นิรยํ อุปปชฺชติ. กตเมหิ ปฺจหิ? อสฺสทฺโธ จ โหติ, อหิริโก จ โหติ, อโนตฺตปฺปี จ โหติ, กุสีโต จ โหติ, ทุปฺปฺโ จ โหติ – อิเมหิ โข, อนุรุทฺธ, ปฺจหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม…เป… ¶ อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชตี’’ติ. ทฺวาทสมํ.
๑๓. มุฏฺสฺสติสุตฺตํ
๒๙๒. ‘‘ปฺจหิ ¶ , อนุรุทฺธ, ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม…เป… นิรยํ อุปปชฺชติ. กตเมหิ ปฺจหิ? อสฺสทฺโธ ¶ จ โหติ, อหิริโก จ โหติ, อโนตฺตปฺปี จ โหติ, มุฏฺสฺสติ จ โหติ, ทุปฺปฺโ จ โหติ – อิเมหิ โข, อนุรุทฺธ, ปฺจหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม…เป… นิรยํ อุปปชฺชตี’’ติ. เตรสมํ.
๑๔. ปฺจเวรสุตฺตํ
๒๙๓. ‘‘ปฺจหิ, อนุรุทฺธ, ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม…เป… นิรยํ อุปปชฺชติ. กตเมหิ ปฺจหิ? ปาณาติปาตี จ โหติ, อทินฺนาทายี จ โหติ, กาเมสุมิจฺฉาจารี จ โหติ, มุสาวาที จ โหติ, สุราเมรยมชฺชปฺปมาทฏฺายี จ โหติ – อิเมหิ โข, อนุรุทฺธ, ปฺจหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชตี’’ติ. จุทฺทสมํ.
ปมเปยฺยาลวคฺโค.
ตสฺสุทฺทานํ –
มาตุคาโม ¶ ปุริโส จ, อาเวณิกา ติธมฺโม จ [ทฺเว มนาปามนาปาจ, อาเวณิกา ตีหิ อนุรุทฺโธ (สพฺพตฺถ)];
โกธโน อุปนาหี จ, อิสฺสุกี มจฺฉเรน จ;
อติจารี จ ทุสฺสีโล, อปฺปสฺสุโต จ กุสีโต;
มุฏฺสฺสติ ปฺจเวรํ, กณฺหปกฺเข ปกาสิโต.
๒. ทุติยเปยฺยาลวคฺโค
๑. อกฺโกธนสุตฺตํ
๒๙๔. อถ โข อายสฺมา อนุรุทฺโธ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา…เป… เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา อนุรุทฺโธ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อิธาหํ, ภนฺเต, มาตุคามํ ปสฺสามิ ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน ¶ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺตํ. กตีหิ นุ โข, ภนฺเต, ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชตี’’ติ?
‘‘ปฺจหิ ¶ โข, อนุรุทฺธ, ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติ. กตเมหิ ปฺจหิ? สทฺโธ จ โหติ, หิริมา จ โหติ, โอตฺตปฺปี จ โหติ, อกฺโกธโน จ โหติ, ปฺวา จ โหติ – อิเมหิ โข, อนุรุทฺธ, ปฺจหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม ¶ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชตี’’ติ. ปมํ.
๒. อนุปนาหีสุตฺตํ
๒๙๕. ‘‘ปฺจหิ, อนุรุทฺธ, ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติ. กตเมหิ ปฺจหิ? สทฺโธ จ โหติ, หิริมา จ โหติ, โอตฺตปฺปี ¶ จ โหติ, อนุปนาหี จ โหติ, ปฺวา จ โหติ – อิเมหิ โข, อนุรุทฺธ, ปฺจหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชตี’’ติ. ทุติยํ.
๓. อนิสฺสุกีสุตฺตํ
๒๙๖. ‘‘ปฺจหิ, อนุรุทฺธ, ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติ. กตเมหิ ปฺจหิ? สทฺโธ จ โหติ, หิริมา จ โหติ, โอตฺตปฺปี จ โหติ, อนิสฺสุกี จ โหติ, ปฺวา จ โหติ – อิเมหิ โข, อนุรุทฺธ, ปฺจหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชตี’’ติ. ตติยํ.
๔. อมจฺฉรีสุตฺตํ
๒๙๗. อมจฺฉรี จ โหติ, ปฺวา จ โหติ…เป…. จตุตฺถํ.
๕. อนติจารีสุตฺตํ
๒๙๘. อนติจารี จ โหติ, ปฺวา จ โหติ…เป…. ปฺจมํ.
๖. สุสีลสุตฺตํ
๒๙๙. สีลวา จ โหติ, ปฺวา จ โหติ…เป…. ฉฏฺํ.
๗. พหุสฺสุตสุตฺตํ
๓๐๐. พหุสฺสุโต ¶ จ โหติ, ปฺวา จ โหติ…เป…. สตฺตมํ.
๘. อารทฺธวีริยสุตฺตํ
๓๐๑. อารทฺธวีริโย ¶ จ โหติ, ปฺวา จ โหติ…เป…. อฏฺมํ.
๙. อุปฏฺิตสฺสติสุตฺตํ
๓๐๒. ‘‘อุปฏฺิตสฺสติ ¶ จ ¶ โหติ, ปฺวา จ โหติ – อิเมหิ โข, อนุรุทฺธ, ปฺจหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชตี’’ติ. นวมํ.
อิเม อฏฺ สุตฺตนฺตสงฺเขปา.
๑๐. ปฺจสีลสุตฺตํ
๓๐๓. ‘‘ปฺจหิ, อนุรุทฺธ, ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติ. กตเมหิ ปฺจหิ? ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต จ โหติ, อทินฺนาทานา ปฏิวิรโต จ โหติ, กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฏิวิรโต จ โหติ, มุสาวาทา ปฏิวิรโต จ โหติ, สุราเมรยมชฺชปฺปมาทฏฺานา ปฏิวิรโต จ โหติ – อิเมหิ โข, อนุรุทฺธ, ปฺจหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชตี’’ติ. ทสมํ.
ทุติยเปยฺยาลวคฺโค.
ตสฺสุทฺทานํ –
ทุติเย จ [อนุรุทฺโธ (สพฺพตฺถ)] อกฺโกธโน, อนุปนาหี อนิสฺสุกี;
อมจฺฉรี อนติจารี, สีลวา จ พหุสฺสุโต;
วีริยํ สติ สีลฺจ, สุกฺกปกฺเข ปกาสิโต.
๓. พลวคฺโค
๑. วิสารทสุตฺตํ
๓๐๔. ‘‘ปฺจิมานิ ¶ ¶ ¶ ¶ , ภิกฺขเว, มาตุคามสฺส พลานิ. กตมานิ ปฺจ? รูปพลํ, โภคพลํ, าติพลํ, ปุตฺตพลํ, สีลพลํ – อิมานิ โข, ภิกฺขเว, ปฺจ มาตุคามสฺส พลานิ. อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปฺจหิ พเลหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม วิสารโท อคารํ อชฺฌาวสตี’’ติ. ปมํ.
๒. ปสยฺหสุตฺตํ
๓๐๕. ‘‘ปฺจิมานิ, ภิกฺขเว, มาตุคามสฺส พลานิ. กตมานิ ปฺจ? รูปพลํ, โภคพลํ, าติพลํ, ปุตฺตพลํ, สีลพลํ – อิมานิ โข, ภิกฺขเว, ปฺจ มาตุคามสฺส พลานิ. อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปฺจหิ พเลหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม สามิกํ ปสยฺห อคารํ อชฺฌาวสตี’’ติ. ทุติยํ.
๓. อภิภุยฺยสุตฺตํ
๓๐๖. ‘‘ปฺจิมานิ, ภิกฺขเว, มาตุคามสฺส พลานิ. กตมานิ ปฺจ? รูปพลํ, โภคพลํ, าติพลํ, ปุตฺตพลํ, สีลพลํ – อิมานิ โข, ภิกฺขเว, ปฺจ มาตุคามสฺส พลานิ. อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปฺจหิ พเลหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม สามิกํ อภิภุยฺย วตฺตตี’’ติ. ตติยํ.
๔. เอกสุตฺตํ
๓๐๗. ‘‘เอเกน จ โข, ภิกฺขเว, พเลน สมนฺนาคโต ปุริโส มาตุคามํ อภิภุยฺย วตฺตติ. กตเมน เอเกน พเลน? อิสฺสริยพเลน อภิภูตํ มาตุคามํ เนว รูปพลํ ตายติ, น ¶ โภคพลํ ตายติ, น าติพลํ ตายติ, น ปุตฺตพลํ ตายติ, น สีลพลํ ตายตี’’ติ. จตุตฺถํ.
๕. องฺคสุตฺตํ
๓๐๘. ‘‘ปฺจิมานิ ¶ ¶ , ภิกฺขเว, มาตุคามสฺส พลานิ. กตมานิ ปฺจ? รูปพลํ, โภคพลํ, าติพลํ, ปุตฺตพลํ, สีลพลํ. รูปพเลน จ, ภิกฺขเว, มาตุคาโม สมนฺนาคโต โหติ, น จ โภคพเลน – เอวํ โส เตนงฺเคน อปริปูโร โหติ. ยโต จ โข, ภิกฺขเว, มาตุคาโม รูปพเลน จ สมนฺนาคโต โหติ, โภคพเลน จ – เอวํ โส เตนงฺเคน ปริปูโร โหติ. รูปพเลน ¶ จ, ภิกฺขเว, มาตุคาโม สมนฺนาคโต โหติ, โภคพเลน จ, น จ าติพเลน – เอวํ โส เตนงฺเคน อปริปูโร โหติ. ยโต จ โข, ภิกฺขเว, มาตุคาโม รูปพเลน จ สมนฺนาคโต โหติ, โภคพเลน จ, าติพเลน จ – เอวํ โส เตนงฺเคน ปริปูโร โหติ. รูปพเลน จ, ภิกฺขเว, มาตุคาโม สมนฺนาคโต โหติ, โภคพเลน จ, าติพเลน จ, น จ ปุตฺตพเลน – เอวํ โส เตนงฺเคน อปริปูโร โหติ. ยโต จ โข, ภิกฺขเว, มาตุคาโม รูปพเลน จ สมนฺนาคโต โหติ, โภคพเลน จ, าติพเลน จ, ปุตฺตพเลน จ – เอวํ โส เตนงฺเคน ปริปูโร โหติ. รูปพเลน จ, ภิกฺขเว, มาตุคาโม สมนฺนาคโต โหติ, โภคพเลน จ, าติพเลน จ, ปุตฺตพเลน จ, น จ สีลพเลน – เอวํ โส เตนงฺเคน อปริปูโร โหติ. ยโต จ โข, ภิกฺขเว, มาตุคาโม รูปพเลน จ สมนฺนาคโต โหติ, โภคพเลน จ, าติพเลน จ, ปุตฺตพเลน จ, สีลพเลน จ – เอวํ โส เตนงฺเคน ปริปูโร โหติ. อิมานิ โข ¶ , ภิกฺขเว, ปฺจ มาตุคามสฺส พลานี’’ติ. ปฺจมํ.
๖. นาเสนฺติสุตฺตํ
๓๐๙. ‘‘ปฺจิมานิ, ภิกฺขเว, มาตุคามสฺส พลานิ. กตมานิ ปฺจ? รูปพลํ, โภคพลํ, าติพลํ, ปุตฺตพลํ, สีลพลํ. รูปพเลน ¶ จ, ภิกฺขเว, มาตุคาโม สมนฺนาคโต โหติ, น จ สีลพเลน, นาเสนฺเตว นํ, กุเล น วาเสนฺติ. รูปพเลน จ, ภิกฺขเว, มาตุคาโม สมนฺนาคโต โหติ, โภคพเลน จ, น จ สีลพเลน, นาเสนฺเตว นํ, กุเล น วาเสนฺติ. รูปพเลน จ, ภิกฺขเว, มาตุคาโม สมนฺนาคโต โหติ, โภคพเลน จ, าติพเลน จ, น จ สีลพเลน, นาเสนฺเตว นํ, กุเล น วาเสนฺติ. รูปพเลน จ, ภิกฺขเว, มาตุคาโม สมนฺนาคโต โหติ, โภคพเลน จ, าติพเลน จ ¶ , ปุตฺตพเลน จ, น จ สีลพเลน, นาเสนฺเตว นํ, กุเล น วาเสนฺติ. สีลพเลน จ, ภิกฺขเว, มาตุคาโม สมนฺนาคโต โหติ, น จ รูปพเลน, วาเสนฺเตว นํ, กุเล น นาเสนฺติ. สีลพเลน จ, ภิกฺขเว, มาตุคาโม สมนฺนาคโต โหติ, น จ โภคพเลน, วาเสนฺเตว นํ, กุเล น นาเสนฺติ. สีลพเลน จ, ภิกฺขเว, มาตุคาโม สมนฺนาคโต โหติ, น จ าติพเลน, วาเสนฺเตว นํ, กุเล น นาเสนฺติ. สีลพเลน จ, ภิกฺขเว, มาตุคาโม สมนฺนาคโต โหติ, น จ ปุตฺตพเลน, วาเสนฺเตว นํ, กุเล น นาเสนฺติ. อิมานิ ¶ โข, ภิกฺขเว, ปฺจ มาตุคามสฺส พลานี’’ติ. ฉฏฺํ.
๗. เหตุสุตฺตํ
๓๑๐. ‘‘ปฺจิมานิ ¶ , ภิกฺขเว, มาตุคามสฺส พลานิ. กตมานิ ปฺจ? รูปพลํ, โภคพลํ, าติพลํ, ปุตฺตพลํ, สีลพลํ. น, ภิกฺขเว, มาตุคาโม รูปพลเหตุ วา โภคพลเหตุ วา าติพลเหตุ วา ปุตฺตพลเหตุ วา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติ. สีลพลเหตุ โข, ภิกฺขเว, มาตุคาโม กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติ. อิมานิ โข, ภิกฺขเว, ปฺจ มาตุคามสฺส พลานี’’ติ. สตฺตมํ.
๘. านสุตฺตํ
๓๑๑. ‘‘ปฺจิมานิ ¶ , ภิกฺขเว, านานิ ทุลฺลภานิ อกตปฺุเน มาตุคาเมน. กตมานิ ปฺจ? ปติรูเป กุเล ชาเยยฺยนฺติ – อิทํ, ภิกฺขเว, ปมํ านํ ทุลฺลภํ อกตปฺุเน มาตุคาเมน. ปติรูเป กุเล ชายิตฺวา ปติรูปํ กุลํ คจฺเฉยฺยนฺติ – อิทํ, ภิกฺขเว, ทุติยํ านํ ทุลฺลภํ อกตปฺุเน มาตุคาเมน. ปติรูเป กุเล ชายิตฺวา, ปติรูปํ กุลํ คนฺตฺวา, อสปตฺติ อคารํ อชฺฌาวเสยฺยนฺติ – อิทํ, ภิกฺขเว, ตติยํ านํ ทุลฺลภํ อกตปฺุเน มาตุคาเมน. ปติรูเป กุเล ชายิตฺวา, ปติรูปํ กุลํ คนฺตฺวา, อสปตฺติ อคารํ อชฺฌาวสนฺตี ปุตฺตวตี อสฺสนฺติ – อิทํ, ภิกฺขเว, จตุตฺถํ านํ ทุลฺลภํ อกตปฺุเน มาตุคาเมน. ปติรูเป กุเล ชายิตฺวา, ปติรูปํ กุลํ คนฺตฺวา, อสปตฺติ อคารํ อชฺฌาวสนฺตี ปุตฺตวตี สมานา สามิกํ อภิภุยฺย วตฺเตยฺยนฺติ – อิทํ, ภิกฺขเว, ปฺจมํ านํ ทุลฺลภํ อกตปฺุเน ¶ มาตุคาเมน ¶ . อิมานิ โข, ภิกฺขเว, ปฺจ านานิ ทุลฺลภานิ อกตปฺุเน มาตุคาเมนาติ.
‘‘ปฺจิมานิ, ภิกฺขเว, านานิ สุลภานิ กตปฺุเน มาตุคาเมน. กตมานิ ปฺจ? ปติรูเป กุเล ชาเยยฺยนฺติ – อิทํ, ภิกฺขเว, ปมํ านํ สุลภํ กตปฺุเน มาตุคาเมน. ปติรูเป กุเล ชายิตฺวา ปติรูปํ กุลํ คจฺเฉยฺยนฺติ – อิทํ, ภิกฺขเว, ทุติยํ านํ สุลภํ กตปฺุเน มาตุคาเมน. ปติรูเป กุเล ชายิตฺวา ปติรูปํ กุลํ คนฺตฺวา อสปตฺติ อคารํ อชฺฌาวเสยฺยนฺติ – อิทํ, ภิกฺขเว, ตติยํ านํ สุลภํ กตปฺุเน มาตุคาเมน. ปติรูเป กุเล ชายิตฺวา ปติรูปํ กุลํ คนฺตฺวา อสปตฺติ อคารํ อชฺฌาวสนฺตี ปุตฺตวตี อสฺสนฺติ – อิทํ, ภิกฺขเว, จตุตฺถํ านํ สุลภํ กตปฺุเน มาตุคาเมน. ปติรูเป กุเล ¶ ชายิตฺวา ปติรูปํ กุลํ คนฺตฺวา อสปตฺติ อคารํ อชฺฌาวสนฺตี ¶ ปุตฺตวตี สมานา สามิกํ อภิภุยฺย วตฺเตยฺยนฺติ – อิทํ, ภิกฺขเว, ปฺจมํ านํ สุลภํ กตปฺุเน มาตุคาเมน. อิมานิ โข, ภิกฺขเว, ปฺจ านานิ สุลภานิ กตปฺุเน มาตุคาเมนา’’ติ. อฏฺมํ.
๙. ปฺจสีลวิสารทสุตฺตํ
๓๑๒. ‘‘ปฺจหิ, ภิกฺขเว, ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม วิสารโท อคารํ อชฺฌาวสติ. กตเมหิ ปฺจหิ? ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต จ โหติ, อทินฺนาทานา ปฏิวิรโต จ โหติ, กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฏิวิรโต จ โหติ, มุสาวาทา ปฏิวิรโต จ โหติ ¶ , สุราเมรยมชฺชปฺปมาทฏฺานา ปฏิวิรโต จ โหติ – อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปฺจหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต มาตุคาโม วิสารโท อคารํ อชฺฌาวสตี’’ติ. นวมํ.
๑๐. วฑฺฒีสุตฺตํ
๓๑๓. ‘‘ปฺจหิ, ภิกฺขเว, วฑฺฒีหิ วฑฺฒมานา อริยสาวิกา อริยาย วฑฺฒิยา วฑฺฒติ สาราทายินี จ โหติ วราทายินี จ กายสฺส. กตเมหิ ปฺจหิ? สทฺธาย วฑฺฒติ, สีเลน วฑฺฒติ, สุเตน วฑฺฒติ, จาเคน วฑฺฒติ, ปฺาย วฑฺฒติ – อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปฺจหิ ¶ วฑฺฒีหิ วฑฺฒมานา อริยสาวิกา อริยาย วฑฺฒิยา วฑฺฒติ, สาราทายินี จ โหติ, วราทายินี จ กายสฺสา’’ติ.
‘‘สทฺธาย สีเลน จ ยาธ วฑฺฒติ,
ปฺาย จาเคน สุเตน จูภยํ;
สา ตาทิสี สีลวตี อุปาสิกา,
อาทียติ สารมิเธว อตฺตโน’’ติ. ทสมํ;
พลวคฺโค ตติโย.
ตสฺสุทฺทานํ ¶ –
วิสารทา ปสยฺห อภิภุยฺย, เอกํ องฺเคน ปฺจมํ;
นาเสนฺติ เหตุ านฺจ, วิสารโท วฑฺฒินา ทสาติ.
มาตุคามสํยุตฺตํ สมตฺตํ.