📜
(๒๕) ๕. อาปตฺติภยวคฺโค
๑. สงฺฆเภทกสุตฺตํ
๒๔๓. เอกํ ¶ ¶ สมยํ ภควา โกสมฺพิยํ วิหรติ โฆสิตาราเม. อถ โข อายสฺมา อานนฺโท เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ. เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ ภควา เอตทโวจ – ‘‘อปิ นุ ตํ, อานนฺท, อธิกรณํ วูปสนฺต’’นฺติ? ‘‘กุโต ตํ, ภนฺเต, อธิกรณํ วูปสมิสฺสติ [วูปสมฺมิสฺสติ (?)]! อายสฺมโต ¶ , ภนฺเต, อนุรุทฺธสฺส พาหิโย นาม สทฺธิวิหาริโก เกวลกปฺปํ สงฺฆเภทาย ิโต. ตตฺรายสฺมา อนุรุทฺโธ น เอกวาจิกมฺปิ ภณิตพฺพํ มฺตี’’ติ.
‘‘กทา ปนานนฺท, อนุรุทฺโธ สงฺฆมชฺเฌ อธิกรเณสุ [อธิกรเณสุ เตสุ (ก.)] โวยฺุชติ! นนุ, อานนฺท, ยานิ กานิจิ อธิกรณานิ อุปฺปชฺชนฺติ, สพฺพานิ ตานิ ตุมฺเห เจว วูปสเมถ สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานา จ.
‘‘จตฺตาโรเม, อานนฺท, อตฺถวเส สมฺปสฺสมาโน ปาปภิกฺขุ สงฺฆเภเทน นนฺทติ. กตเม จตฺตาโร? อิธานนฺท, ปาปภิกฺขุ ทุสฺสีโล โหติ ปาปธมฺโม อสุจิ สงฺกสฺสรสมาจาโร ปฏิจฺฉนฺนกมฺมนฺโต อสฺสมโณ สมณปฏิฺโ อพฺรหฺมจารี พฺรหฺมจาริปฏิฺโ อนฺโตปูติ ¶ อวสฺสุโต กสมฺพุชาโต. ตสฺส เอวํ โหติ – ‘สเจ โข มํ ภิกฺขู ชานิสฺสนฺติ – ทุสฺสีโล ปาปธมฺโม อสุจิ สงฺกสฺสรสมาจาโร ปฏิจฺฉนฺนกมฺมนฺโต อสฺสมโณ สมณปฏิฺโ อพฺรหฺมจารี พฺรหฺมจาริปฏิฺโ อนฺโตปูติ อวสฺสุโต กสมฺพุชาโตติ, สมคฺคา มํ สนฺตา นาเสสฺสนฺติ; วคฺคา ปน มํ น นาเสสฺสนฺตี’ติ. อิทํ, อานนฺท, ปมํ อตฺถวสํ สมฺปสฺสมาโน ปาปภิกฺขุ สงฺฆเภเทน นนฺทติ.
‘‘ปุน จปรํ, อานนฺท, ปาปภิกฺขุ มิจฺฉาทิฏฺิโก โหติ, อนฺตคฺคาหิกาย ทิฏฺิยา สมนฺนาคโต. ตสฺส เอวํ โหติ – ‘สเจ โข มํ ภิกฺขู ชานิสฺสนฺติ – มิจฺฉาทิฏฺิโก อนฺตคฺคาหิกาย ¶ ทิฏฺิยา สมนฺนาคโตติ, สมคฺคา มํ สนฺตา นาเสสฺสนฺติ; วคฺคา ปน มํ น นาเสสฺสนฺตี’ติ. อิทํ, อานนฺท, ทุติยํ อตฺถวสํ สมฺปสฺสมาโน ปาปภิกฺขุ สงฺฆเภเทน นนฺทติ.
‘‘ปุน ¶ จปรํ, อานนฺท, ปาปภิกฺขุ มิจฺฉาอาชีโว โหติ, มิจฺฉาอาชีเวน ¶ ชีวิกํ [ชีวิตํ (สฺยา. กํ. ปี. ก.)] กปฺเปติ. ตสฺส เอวํ โหติ – ‘สเจ โข มํ ภิกฺขู ชานิสฺสนฺติ – มิจฺฉาอาชีโว มิจฺฉาอาชีเวน ชีวิกํ กปฺเปตีติ, สมคฺคา มํ สนฺตา นาเสสฺสนฺติ; วคฺคา ปน มํ น นาเสสฺสนฺตี’ติ. อิทํ, อานนฺท, ตติยํ อตฺถวสํ สมฺปสฺสมาโน ปาปภิกฺขุ สงฺฆเภเทน นนฺทติ.
‘‘ปุน จปรํ, อานนฺท, ปาปภิกฺขุ ลาภกาโม โหติ สกฺการกาโม อนวฺตฺติกาโม. ตสฺส เอวํ โหติ – ‘สเจ โข มํ ภิกฺขู ชานิสฺสนฺติ – ลาภกาโม สกฺการกาโม อนวฺตฺติกาโมติ, สมคฺคา มํ สนฺตา น สกฺกริสฺสนฺติ น ครุํ กริสฺสนฺติ น มาเนสฺสนฺติ น ปูเชสฺสนฺติ; วคฺคา ปน มํ สกฺกริสฺสนฺติ ครุํ กริสฺสนฺติ มาเนสฺสนฺติ ปูเชสฺสนฺตี’ติ. อิทํ, อานนฺท, จตุตฺถํ อตฺถวสํ สมฺปสฺสมาโน ปาปภิกฺขุ สงฺฆเภเทน นนฺทติ. อิเม โข, อานนฺท, จตฺตาโร อตฺถวเส สมฺปสฺสมาโน ปาปภิกฺขุ สงฺฆเภเทน นนฺทตี’’ติ. ปมํ.
๒. อาปตฺติภยสุตฺตํ
๒๔๔. ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, อาปตฺติภยานิ. กตมานิ จตฺตาริ? เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, โจรํ อาคุจารึ คเหตฺวา รฺโ ทสฺเสยฺยุํ – ‘อยํ เต, เทว, โจโร อาคุจารี. อิมสฺส เทโว ทณฺฑํ ปเณตู’ติ. ตเมนํ ราชา เอวํ วเทยฺย – ‘คจฺฉถ ¶ , โภ, อิมํ ปุริสํ ทฬฺหาย รชฺชุยา ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธิตฺวา ขุรมุณฺฑํ กริตฺวา ขรสฺสเรน ปณเวน รถิกาย รถิกํ สิงฺฆาฏเกน สิงฺฆาฏกํ ปริเนตฺวา ทกฺขิเณน ทฺวาเรน นิกฺขาเมตฺวา ทกฺขิณโต นครสฺส สีสํ ฉินฺทถา’ติ. ตเมนํ รฺโ ปุริสา ทฬฺหาย รชฺชุยา ¶ ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธิตฺวา ขุรมุณฺฑํ กริตฺวา ขรสฺสเรน ปณเวน รถิกาย รถิกํ สิงฺฆาฏเกน สิงฺฆาฏกํ ปริเนตฺวา ทกฺขิเณน ทฺวาเรน นิกฺขาเมตฺวา ทกฺขิณโต นครสฺส สีสํ ฉินฺเทยฺยุํ. ตตฺรฺตรสฺส ถลฏฺสฺส ปุริสสฺส เอวมสฺส – ‘ปาปกํ วต, โภ, อยํ ปุริโส กมฺมํ อกาสิ คารยฺหํ สีสจฺเฉชฺชํ. ยตฺร หิ นาม รฺโ ปุริสา ทฬฺหาย รชฺชุยา ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธิตฺวา ขุรมุณฺฑํ กริตฺวา ขรสฺสเรน ปณเวน รถิกาย รถิกํ สิงฺฆาฏเกน สิงฺฆาฏกํ ปริเนตฺวา ทกฺขิเณน ¶ ทฺวาเรน นิกฺขาเมตฺวา ทกฺขิณโต นครสฺส สีสํ ฉินฺทิสฺสนฺติ ¶ ! โส วตสฺสาหํ [โส วตสฺสายํ (สี.)] เอวรูปํ ปาปกมฺมํ [ปาปํ กมฺมํ (สี. ปี.)] น กเรยฺยํ [น กเรยฺย (สี.) ที. นิ. ๑.๑๘๓ ปาฬิยา ตทฏฺกถาย จ สํสนฺเทตพฺพํ] คารยฺหํ สีสจฺเฉชฺช’นฺติ. เอวเมวํ โข, ภิกฺขเว, ยสฺส กสฺสจิ ภิกฺขุสฺส วา ภิกฺขุนิยา วา เอวํ ติพฺพา ภยสฺา ปจฺจุปฏฺิตา โหติ ปาราชิเกสุ ธมฺเมสุ. ตสฺเสตํ ปาฏิกงฺขํ – อนาปนฺโน วา ปาราชิกํ ธมฺมํ น อาปชฺชิสฺสติ, อาปนฺโน วา ปาราชิกํ ธมฺมํ ยถาธมฺมํ ปฏิกริสฺสติ.
‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส กาฬวตฺถํ [กาฬกํ วตฺถํ (สี. สฺยา. กํ. ปี.)] ปริธาย เกเส ปกิริตฺวา มุสลํ ขนฺเธ อาโรเปตฺวา มหาชนกายํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘อหํ, ภนฺเต, ปาปกมฺมํ อกาสึ คารยฺหํ โมสลฺลํ, เยน เม อายสฺมนฺโต อตฺตมนา โหนฺติ ตํ กโรมี’ติ. ตตฺรฺตรสฺส ถลฏฺสฺส ปุริสสฺส เอวมสฺส – ‘ปาปกํ วต, โภ, อยํ ปุริโส กมฺมํ อกาสิ คารยฺหํ โมสลฺลํ. ยตฺร หิ นาม กาฬวตฺถํ ปริธาย เกเส ปกิริตฺวา มุสลํ ขนฺเธ อาโรเปตฺวา มหาชนกายํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วกฺขติ – ‘อหํ, ภนฺเต, ปาปกมฺมํ อกาสึ คารยฺหํ โมสลฺลํ, เยน เม อายสฺมนฺโต ¶ อตฺตมนา โหนฺติ ตํ กโรมีติ. โส ¶ วตสฺสาหํ เอวรูปํ ปาปกมฺมํ น กเรยฺยํ คารยฺหํ โมสลฺล’นฺติ. เอวเมวํ โข, ภิกฺขเว, ยสฺส กสฺสจิ ภิกฺขุสฺส วา ภิกฺขุนิยา วา เอวํ ติพฺพา ภยสฺา ปจฺจุปฏฺิตา โหติ สงฺฆาทิเสเสสุ ธมฺเมสุ, ตสฺเสตํ ปาฏิกงฺขํ – อนาปนฺโน วา สงฺฆาทิเสสํ ธมฺมํ น อาปชฺชิสฺสติ, อาปนฺโน วา สงฺฆาทิเสสํ ธมฺมํ ยถาธมฺมํ ปฏิกริสฺสติ.
‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส กาฬวตฺถํ ปริธาย เกเส ปกิริตฺวา ภสฺมปุฏํ [อสฺสปุฏํ (สี. สฺยา. กํ. ปี.)] ขนฺเธ อาโรเปตฺวา มหาชนกายํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘อหํ, ภนฺเต, ปาปกมฺมํ อกาสึ คารยฺหํ ภสฺมปุฏํ. เยน เม อายสฺมนฺโต อตฺตมนา โหนฺติ ตํ กโรมี’ติ. ตตฺรฺตรสฺส ถลฏฺสฺส ปุริสสฺส เอวมสฺส – ‘ปาปกํ วต, โภ, อยํ ปุริโส กมฺมํ อกาสิ คารยฺหํ ภสฺมปุฏํ. ยตฺร หิ นาม กาฬวตฺถํ ปริธาย เกเส ปกิริตฺวา ภสฺมปุฏํ ขนฺเธ อาโรเปตฺวา มหาชนกายํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วกฺขติ – อหํ, ภนฺเต, ปาปกมฺมํ อกาสึ คารยฺหํ ภสฺมปุฏํ; เยน เม อายสฺมนฺโต อตฺตมนา โหนฺติ ตํ กโรมีติ. โส วตสฺสาหํ เอวรูปํ ปาปกมฺมํ น กเรยฺยํ คารยฺหํ ¶ ภสฺมปุฏ’นฺติ. เอวเมวํ โข, ภิกฺขเว, ยสฺส กสฺสจิ ภิกฺขุสฺส วา ภิกฺขุนิยา วา เอวํ ติพฺพา ภยสฺา ปจฺจุปฏฺิตา โหติ ปาจิตฺติเยสุ ธมฺเมสุ ¶ , ตสฺเสตํ ปาฏิกงฺขํ – อนาปนฺโน วา ปาจิตฺติยํ ธมฺมํ น อาปชฺชิสฺสติ, อาปนฺโน วา ปาจิตฺติยํ ธมฺมํ ยถาธมฺมํ ปฏิกริสฺสติ.
‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส ¶ กาฬวตฺถํ ปริธาย เกเส ปกิริตฺวา มหาชนกายํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘อหํ, ภนฺเต, ปาปกมฺมํ อกาสึ คารยฺหํ อุปวชฺชํ. เยน เม อายสฺมนฺโต อตฺตมนา โหนฺติ ตํ กโรมี’ติ. ตตฺรฺตรสฺส ถลฏฺสฺส ปุริสสฺส เอวมสฺส – ‘ปาปกํ วต, โภ, อยํ ปุริโส กมฺมํ อกาสิ คารยฺหํ อุปวชฺชํ. ยตฺร หิ นาม กาฬวตฺถํ ปริธาย เกเส ปกิริตฺวา มหาชนกายํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ ¶ วกฺขติ – อหํ, ภนฺเต, ปาปกมฺมํ อกาสึ คารยฺหํ อุปวชฺชํ; เยน เม อายสฺมนฺโต อตฺตมนา โหนฺติ ตํ กโรมีติ. โส วตสฺสาหํ เอวรูปํ ปาปกมฺมํ น กเรยฺยํ คารยฺหํ อุปวชฺช’นฺติ. เอวเมวํ โข, ภิกฺขเว, ยสฺส กสฺสจิ ภิกฺขุสฺส วา ภิกฺขุนิยา วา เอวํ ติพฺพา ภยสฺา ปจฺจุปฏฺิตา โหติ ปาฏิเทสนีเยสุ ธมฺเมสุ, ตสฺเสตํ ปาฏิกงฺขํ – อนาปนฺโน วา ปาฏิเทสนียํ ธมฺมํ น อาปชฺชิสฺสติ, อาปนฺโน วา ปาฏิเทสนียํ ธมฺมํ ยถาธมฺมํ ปฏิกริสฺสติ. อิมานิ โข, ภิกฺขเว, จตฺตาริ อาปตฺติภยานี’’ติ. ทุติยํ.
๓. สิกฺขานิสํสสุตฺตํ
๒๔๕. ‘‘สิกฺขานิสํสมิทํ, ภิกฺขเว, พฺรหฺมจริยํ วุสฺสติ ปฺุตฺตรํ วิมุตฺติสารํ สตาธิปเตยฺยํ. กถฺจ, ภิกฺขเว, สิกฺขานิสํสํ โหติ? อิธ, ภิกฺขเว, มยา สาวกานํ อาภิสมาจาริกา สิกฺขา ปฺตฺตา อปฺปสนฺนานํ ปสาทาย ปสนฺนานํ ภิยฺโยภาวาย. ยถา ยถา, ภิกฺขเว, มยา สาวกานํ อาภิสมาจาริกา สิกฺขา ปฺตฺตา อปฺปสนฺนานํ ปสาทาย ปสนฺนานํ ภิยฺโยภาวาย ตถา ตถา โส ตสฺสา สิกฺขาย อขณฺฑการี โหติ อจฺฉิทฺทการี ¶ อสพลการี อกมฺมาสการี, สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสุ.
‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, มยา สาวกานํ อาทิพฺรหฺมจริยิกา สิกฺขา ปฺตฺตา สพฺพโส สมฺมา ทุกฺขกฺขยาย. ยถา ยถา, ภิกฺขเว, มยา สาวกานํ อาทิพฺรหฺมจริยิกา สิกฺขา ปฺตฺตา สพฺพโส สมฺมา ทุกฺขกฺขยาย ตถา ตถา โส ตสฺสา สิกฺขาย อขณฺฑการี โหติ ¶ อจฺฉิทฺทการี ¶ อสพลการี อกมฺมาสการี, สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสุ. เอวํ โข, ภิกฺขเว, สิกฺขานิสํสํ โหติ.
‘‘กถฺจ, ภิกฺขเว, ปฺุตฺตรํ โหติ? อิธ, ภิกฺขเว, มยา สาวกานํ ธมฺมา เทสิตา สพฺพโส สมฺมา ทุกฺขกฺขยาย. ยถา ยถา, ภิกฺขเว, มยา สาวกานํ ธมฺมา เทสิตา สพฺพโส สมฺมา ทุกฺขกฺขยาย ตถา ตถาสฺส เต ธมฺมา ปฺาย สมเวกฺขิตา โหนฺติ. เอวํ โข, ภิกฺขเว, ปฺุตฺตรํ โหติ.
‘‘กถฺจ ¶ , ภิกฺขเว, วิมุตฺติสารํ โหติ? อิธ, ภิกฺขเว, มยา สาวกานํ ธมฺมา เทสิตา สพฺพโส สมฺมา ทุกฺขกฺขยาย. ยถา ยถา, ภิกฺขเว, มยา สาวกานํ ธมฺมา เทสิตา สพฺพโส สมฺมา ทุกฺขกฺขยาย ตถา ตถาสฺส เต ธมฺมา วิมุตฺติยา ผุสิตา โหนฺติ. เอวํ โข, ภิกฺขเว, วิมุตฺติสารํ โหติ.
‘‘กถฺจ, ภิกฺขเว, สตาธิปเตยฺยํ โหติ? ‘อิติ อปริปูรํ วา อาภิสมาจาริกํ สิกฺขํ ปริปูเรสฺสามิ, ปริปูรํ วา อาภิสมาจาริกํ สิกฺขํ ตตฺถ ตตฺถ ปฺาย อนุคฺคเหสฺสามี’ติ – อชฺฌตฺตํเยว สติ สูปฏฺิตา โหติ. ‘อิติ อปริปูรํ วา อาทิพฺรหฺมจริยิกํ สิกฺขํ ปริปูเรสฺสามิ, ปริปูรํ วา อาทิพฺรหฺมจริยิกํ สิกฺขํ ตตฺถ ตตฺถ ปฺาย อนุคฺคเหสฺสามี’ติ – อชฺฌตฺตํเยว สติ สูปฏฺิตา โหติ. ‘อิติ อสมเวกฺขิตํ วา ¶ ธมฺมํ ปฺาย สมเวกฺขิสฺสามิ, สมเวกฺขิตํ วา ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ ปฺาย อนุคฺคเหสฺสามี’ติ – อชฺฌตฺตํเยว สติ สูปฏฺิตา โหติ. ‘อิติ อผุสิตํ วา ธมฺมํ วิมุตฺติยา ผุสิสฺสามิ, ผุสิตํ วา ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ ปฺาย อนุคฺคเหสฺสามี’ติ – อชฺฌตฺตํเยว สติ สูปฏฺิตา โหติ. เอวํ โข, ภิกฺขเว, สตาธิปเตยฺยํ โหติ. ‘สิกฺขานิสํสมิทํ, ภิกฺขเว, พฺรหฺมจริยํ วุสฺสติ ปฺุตฺตรํ วิมุตฺติสารํ สตาธิปเตยฺย’นฺติ, อิติ ยํ ตํ วุตฺตํ อิทเมตํ ปฏิจฺจ วุตฺต’’นฺติ. ตติยํ.
๔. เสยฺยาสุตฺตํ
๒๔๖. ‘‘จตสฺโส อิมา, ภิกฺขเว, เสยฺยา. กตมา จตสฺโส? เปตเสยฺยา, กามโภคิเสยฺยา ¶ , สีหเสยฺยา, ตถาคตเสยฺยา. กตมา ¶ จ, ภิกฺขเว, เปตเสยฺยา? เยภุยฺเยน, ภิกฺขเว, เปตา อุตฺตานา เสนฺติ; อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, เปตเสยฺยา.
‘‘กตมา จ, ภิกฺขเว, กามโภคิเสยฺยา? เยภุยฺเยน, ภิกฺขเว, กามโภคี วาเมน ปสฺเสน เสนฺติ; อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, กามโภคิเสยฺยา.
‘‘กตมา จ, ภิกฺขเว, สีหเสยฺยา? สีโห ¶ , ภิกฺขเว, มิคราชา ทกฺขิเณน ปสฺเสน เสยฺยํ กปฺเปติ, ปาเท ปาทํ อจฺจาธาย, อนฺตรสตฺถิมฺหิ นงฺคุฏฺํ อนุปกฺขิปิตฺวา. โส ปฏิพุชฺฌิตฺวา ปุริมํ กายํ อพฺภุนฺนาเมตฺวา ปจฺฉิมํ กายํ อนุวิโลเกติ. สเจ, ภิกฺขเว, สีโห มิคราชา กิฺจิ ปสฺสติ กายสฺส วิกฺขิตฺตํ วา วิสฏํ วา, เตน, ภิกฺขเว, สีโห มิคราชา อนตฺตมโน โหติ. สเจ ปน, ภิกฺขเว, สีโห มิคราชา น กิฺจิ ปสฺสติ กายสฺส วิกฺขิตฺตํ วา วิสฏํ วา, เตน ¶ , ภิกฺขเว, สีโห มิคราชา อตฺตมโน โหติ. อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, สีหเสยฺยา.
‘‘กตมา จ, ภิกฺขเว, ตถาคตเสยฺยา? อิธ, ภิกฺขเว, ตถาคโต วิวิจฺเจว กาเมหิ…เป… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ. อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ตถาคตเสยฺยา. อิมา โข, ภิกฺขเว, จตสฺโส เสยฺยา’’ติ. จตุตฺถํ.
๕. ถูปารหสุตฺตํ
๒๔๗. ‘‘จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, ถูปารหา. กตเม จตฺตาโร? ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ถูปารโห, ปจฺเจกพุทฺโธ ถูปารโห, ตถาคตสาวโก ถูปารโห, ราชา จกฺกวตฺตี ถูปารโห – อิเม โข, ภิกฺขเว, จตฺตาโร ถูปารหา’’ติ. ปฺจมํ.
๖. ปฺาวุทฺธิสุตฺตํ
๒๔๘. ‘‘จตฺตาโรเม ¶ , ภิกฺขเว, ธมฺมา ปฺาวุทฺธิยา สํวตฺตนฺติ. กตเม จตฺตาโร? สปฺปุริสสํเสโว, สทฺธมฺมสวนํ, โยนิโสมนสิกาโร, ธมฺมานุธมฺมปฺปฏิปตฺติ – อิเม โข, ภิกฺขเว, จตฺตาโร ธมฺมา ปฺาวุทฺธิยา สํวตฺตนฺตี’’ติ. ฉฏฺํ.
๗. พหุการสุตฺตํ
๒๔๙. ‘‘จตฺตาโรเม ¶ , ภิกฺขเว, ธมฺมา มนุสฺสภูตสฺส พหุการา โหนฺติ. กตเม จตฺตาโร? สปฺปุริสสํเสโว, สทฺธมฺมสวนํ, โยนิโสมนสิกาโร, ธมฺมานุธมฺมปฺปฏิปตฺติ – อิเม ¶ โข, ภิกฺขเว, จตฺตาโร ธมฺมา มนุสฺสภูตสฺส พหุการา โหนฺตี’’ติ. สตฺตมํ.
๘. ปมโวหารสุตฺตํ
๒๕๐. ‘‘จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, อนริยโวหารา. กตเม จตฺตาโร? อทิฏฺเ ทิฏฺวาทิตา, อสุเต สุตวาทิตา, อมุเต มุตวาทิตา, อวิฺาเต วิฺาตวาทิตา – อิเม โข, ภิกฺขเว, จตฺตาโร อนริยโวหารา’’ติ. อฏฺมํ.
๙. ทุติยโวหารสุตฺตํ
๒๕๑. ‘‘จตฺตาโรเม ¶ , ภิกฺขเว, อริยโวหารา. กตเม จตฺตาโร? อทิฏฺเ อทิฏฺวาทิตา, อสุเต อสุตวาทิตา, อมุเต อมุตวาทิตา, อวิฺาเต อวิฺาตวาทิตา – อิเม โข, ภิกฺขเว, จตฺตาโร อริยโวหารา’’ติ. นวมํ.
๑๐. ตติยโวหารสุตฺตํ
๒๕๒. ‘‘จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, อนริยโวหารา. กตเม จตฺตาโร? ทิฏฺเ อทิฏฺวาทิตา, สุเต ¶ อสุตวาทิตา, มุเต อมุตวาทิตา, วิฺาเต อวิฺาตวาทิตา – อิเม โข, ภิกฺขเว, จตฺตาโร อนริยโวหารา’’ติ. ทสมํ.
๑๑. จตุตฺถโวหารสุตฺตํ
๒๕๓. ‘‘จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, อริยโวหารา. กตเม จตฺตาโร? ทิฏฺเ ทิฏฺวาทิตา, สุเต สุตวาทิตา, มุเต มุตวาทิตา, วิฺาเต วิฺาตวาทิตา – อิเม โข, ภิกฺขเว, จตฺตาโร อริยโวหารา’’ติ. เอกาทสมํ.
อาปตฺติภยวคฺโค ปฺจโม.
ตสฺสุทฺทานํ –
เภทอาปตฺติ ¶ สิกฺขา จ, เสยฺยา ถูปารเหน จ;
ปฺาวุทฺธิ พหุการา, โวหารา จตุโร ิตาติ.
ปฺจมปณฺณาสกํ สมตฺตํ.