📜

(๙) ๔. เถรวคฺโค

๑-๒. รชนียสุตฺตาทิวณฺณนา

๘๑-๘๒. จตุตฺถสฺส ปมํ สุวิฺเยฺยเมว. ทุติเย คุณมกฺขนาย ปวตฺโตปิ อตฺตโน การกํ คูเถน ปหรนฺตํ คูโถ วิย ปมตรํ มกฺเขตีติ มกฺโข, โส เอตสฺส อตฺถีติ มกฺขี. ปฬาสตีติ ปฬาโส, ปรสฺส คุเณ ฑํสิตฺวา วิย อปเนตีติ อตฺโถ. โส เอตสฺส อตฺถีติ ปฬาสี. ปฬาสี ปุคฺคโล หิ ทุติยสฺส ธุรํ น เทติ, สมฺปสาเรตฺวา ติฏฺติ. เตนาห ‘‘ยุคคฺคาหลกฺขเณน ปฬาเสน สมนฺนาคโต’’ติ.

รชนียสุตฺตาทิวณฺณนา นิฏฺิตา.

๓. กุหกสุตฺตวณฺณนา

๘๓. ตติเย ตีหิ กุหนวตฺถูหีติ สามนฺตชปฺปนอิริยาปถสนฺนิสฺสิตปจฺจยปฺปฏิเสวนเภทโต ติปฺปเภเทหิ กุหนวตฺถูหิ. ติวิเธน กุหนวตฺถุนา โลกํ กุหยติ วิมฺหาปยติ ‘‘อโห อจฺฉริยปุริโส’’ติ อตฺตนิ ปเรสํ วิมฺหยํ อุปฺปาเทตีติ กุหโก. ลาภสกฺการตฺถิโก หุตฺวา ลปติ อตฺตานํ ทายกํ วา อุกฺขิปิตฺวา ยถา โส กิฺจิ ททาติ, เอวํ อุกฺกาเจตฺวา กเถตีติ ลปโก. นิมิตฺตํ สีลํ ตสฺสาติ เนมิตฺติโก, นิมิตฺเตน วา จรติ, นิมิตฺตํ วา กโรตีติ เนมิตฺติโก. นิมิตฺตนฺติ จ ปเรสํ ปจฺจยทานสฺุปฺปาทกํ กายวจีกมฺมํ วุจฺจติ . นิปฺเปโส สีลมสฺสาติ นิปฺเปสิโก. นิปฺปิสตีติ วา นิปฺเปโส, นิปฺเปโสเยว นิปฺเปสิโก. นิปฺเปโสติ จ สปุริโส วิย ลาภสกฺการตฺถํ อกฺโกสนุปฺปณฺฑนปรปิฏฺิมํสิกตาทิ.

กุหกสุตฺตวณฺณนา นิฏฺิตา.

๖-๗. ปฏิสมฺภิทาปฺปตฺตสุตฺตาทิวณฺณนา

๘๖-๘๗. ฉฏฺเ ปฏิสมฺภิทาสุ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ เหฏฺา วุตฺตเมว. อุจฺจาวจานีติ อุจฺจนีจานิ. เตนาห ‘‘มหนฺตขุทฺทกานี’’ติ. กึกรณียานีติ ‘‘กึ กโรมี’’ติ เอวํ วตฺวา กตฺตพฺพกมฺมานิ. ตตฺถ อุจฺจกมฺมานิ นาม จีวรสฺส กรณํ, รชนํ, เจติเย สุธากมฺมํ, อุโปสถาคารเจติยฆรโพธิฆเรสุ กตฺตพฺพกมฺมนฺติ เอวมาทิ. อวจกมฺมํ นาม ปาทโธวนมกฺขนาทิ ขุทฺทกกมฺมํ. ตตฺรุปายาสาติ ตตฺรุปคมนิยา, ตตฺร ตตฺร มหนฺเต ขุทฺทเก จ กมฺเม สาธนวเสน อุปคจฺฉนฺติยาติ อตฺโถ. ตสฺส ตสฺส กมฺมสฺส นิปฺผาทเน สมตฺถายาติ วุตฺตํ โหติ. ตตฺรุปายายาติ วา ตตฺร ตตฺร กมฺเม สาเธตพฺเพ อุปายภูตาย. อลํ กาตุนฺติ กาตุํ สมตฺโถ โหติ. อลํ สํวิธาตุนฺติ วิจาเรตุํ สมตฺโถ. สตฺตมํ อุตฺตานเมว.

ปฏิสมฺภิทาปฺปตฺตสุตฺตาทิวณฺณนา นิฏฺิตา.

๘. เถรสุตฺตวณฺณนา

๘๘. อฏฺเม ถิรภาวปฺปตฺโตติ สาสเน ถิรภาวํ อนิวตฺติภาวํ ปตฺโถ. ปพฺพชิโต หุตฺวา พหู รตฺติโย ชานาตีติ รตฺตฺู. เตนาห ‘‘ปพฺพชิตทิวสโต ปฏฺายา’’ติอาทิ. ปากโฏติ อยถาภูตคุเณหิ เจว ยถาภูตคุเณหิ จ สมุคฺคโต. ยโส เอตสฺส อตฺถีติ ยสสฺสี, ยสํ สิโต นิสฺสิโต วา ยสสฺสี. เตนาห ‘‘ยสนิสฺสิโต’’ติ. อสตํ อสาธูนํ ธมฺมา อสทฺธมฺมา, อสนฺตา วา อสุนฺทรา คารยฺหา ลามกา ธมฺมาติ อสทฺธมฺมา. วิปริยาเยน สทฺธมฺมา เวทิตพฺพา.

เถรสุตฺตวณฺณนา นิฏฺิตา.

๙. ปมเสขสุตฺตวณฺณนา

๘๙. นวเม อารมิตพฺพฏฺเน กมฺมํ อาราโม เอตสฺสาติ กมฺมาราโม, ตสฺส ภาโว กมฺมารามตา. ตตฺถ กมฺมนฺติ อิติกตฺตพฺพํ กมฺมํ วุจฺจติ. เสยฺยถิทํ – จีวรวิจารณํ จีวรกมฺมกรณํ อุปตฺถมฺภนํ ปตฺตตฺถวิกอํสพทฺธกกายพนฺธนธมฺมกรณอาธารกปาทกถลิกสมฺมชฺชนิอาทีนํ กรณนฺติ. เอกจฺโจ หิ เอตานิ กโรนฺโต สกลทิวสํ เอตาเนว กโรติ, ตํ สนฺธาเยส ปฏิกฺเขโป. โย ปน เอเตสํ กรณเวลายเมว ตานิ กโรติ, อุทฺเทสเวลาย อุทฺเทสํ คณฺหาติ, สชฺฌายเวลาย สชฺฌายติ, เจติยงฺคณวตฺตเวลาย เจติยงฺคณวตฺตํ กโรติ, มนสิการเวลาย มนสิการํ กโรติ, น โส กมฺมาราโม นาม. ภสฺสารามตาติ เอตฺถ โย อิตฺถิวณฺณปุริสวณฺณาทิวเสน อาลาปสลฺลาปํ กโรนฺโตเยว ทิวสฺจ รตฺติฺจ วีตินาเมติ, เอวรูโป ภสฺเส ปริยนฺตการี น โหติ, อยํ ภสฺสาราโม นาม. โย ปน รตฺติมฺปิ ทิวสมฺปิ ธมฺมํ กเถติ, ปฺหํ วิสฺสชฺเชติ, อยํ อปฺปภสฺโส ภสฺเส ปริยนฺตการีเยว. กสฺมา? ‘‘สนฺนิปติตานํ โว, ภิกฺขเว, ทฺวยํ กรณียํ ธมฺมี วา กถา, อริโย วา ตุณฺหีภาโว’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๗๓; อุทา. ๑๒, ๒๘, ๒๙) วุตฺตตฺตา.

นิทฺทารามตาติ เอตฺถ โย คจฺฉนฺโตปิ นิสินฺโนปิ นิปนฺโนปิ ถินมิทฺธาภิภูโต นิทฺทายติเยว, อยํ นิทฺทาราโม นาม. ยสฺส ปน กรชกาเย เคลฺเน จิตฺตํ ภวงฺเค โอตรติ, นายํ นิทฺทาราโม. เตเนวาห – ‘‘อภิชานามิ โข ปนาหํ, อคฺคิเวสฺสน, คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฺปฏิกฺกนฺโต จตุคฺคุณํ สงฺฆาฏึ ปฺาเปตฺวา ทกฺขิเณน ปสฺเสน สโต สมฺปชาโน นิทฺทํ โอกฺกมิตา’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๘๗). สงฺคณิการามตาติ เอตฺถ โย เอกสฺส ทุติโย, ทฺวินฺนํ ตติโย, ติณฺณํ จตุตฺโถติ เอวํ สํสฏฺโว วิหรติ, เอกโก อสฺสาทํ น ลภติ, อยํ สงฺคณิการาโม. โย ปน จตูสุ อิริยาปเถสุ เอกโกว อสฺสาทํ ลภติ, นายํ สงฺคณิการาโม เวทิตพฺโพ. เสขานํ ปฏิลทฺธคุณสฺส ปริหานาสมฺภวโต ‘‘อุปริคุเณหี’’ติอาทิ วุตฺตํ.

ปมเสขสุตฺตวณฺณนา นิฏฺิตา.

๑๐. ทุติยเสขสุตฺตวณฺณนา

๙๐. ทสเม อติปาโตวาติ สพฺพรตฺตึ นิทฺทายิตฺวา พลวปจฺจูเส โกฏิสมฺมุฺชนิยา โถกํ สมฺมชฺชิตฺวา มุขํ โธวิตฺวา ยาคุภิกฺขตฺถาย ปาโตว ปวิสติ. ตํ อติกฺกมิตฺวาติ คิหิสํสคฺควเสน กาลํ วีตินาเมนฺโต มชฺฌนฺหิกสมยํ อติกฺกมิตฺวา ปกฺกมติ. ปาโตเยว หิ คามํ ปวิสิตฺวา ยาคุํ อาทาย อาสนสาลํ คนฺตฺวา ปิวิตฺวา เอกสฺมึ าเน นิปนฺโน นิทฺทายิตฺวา มนุสฺสานํ โภชนเวลาย ‘‘ปณีตภิกฺขํ ลภิสฺสามี’’ติ อุปกฏฺเ มชฺฌนฺหิเก อุฏฺาย ธมฺมกรเณน อุทกํ คเหตฺวา อกฺขีนิ ปุฺฉิตฺวา ปิณฺฑาย จริตฺวา ยาวทตฺถํ ภุฺชิตฺวา คิหิสํสฏฺโ กาลํ วีตินาเมตฺวา มชฺฌนฺเห วีติวตฺเต ปฏิกฺกมติ.

อปฺปิจฺฉกถาติ, ‘‘อาวุโส, อตฺริจฺฉตา ปาปิจฺฉตาติ อิเม ธมฺมา ปหาตพฺพา’’ติ เตสุ อาทีนวํ ทสฺเสตฺวา ‘‘เอวรูปํ อปฺปิจฺฉตํ สมาทาย วตฺติตพฺพ’’นฺติอาทินยปฺปวตฺตา กถา. ตีหิ วิเวเกหีติ กายวิเวโก, จิตฺตวิเวโก, อุปธิวิเวโกติ อิเมหิ ตีหิ วิเวเกหิ. ตตฺถ เอโก คจฺฉติ, เอโก ติฏฺติ, เอโก นิสีทติ, เอโก เสยฺยํ กปฺเปติ, เอโก คามํ ปิณฺฑาย ปวิสติ, เอโก ปฏิกฺกมติ, เอโก จงฺกมํ อธิฏฺาติ, เอโก จรติ, เอโก วิหรตีติ อยํ กายวิเวโก นาม. อฏฺ สมาปตฺติโย ปน จิตฺตวิเวโก นาม. นิพฺพานํ อุปธิวิเวโก นาม. วุตฺตมฺปิ เหตํ – ‘‘กายวิเวโก จ วิเวกฏฺกายานํ เนกฺขมฺมาภิรตานํ, จิตฺตวิเวโก จ ปริสุทฺธจิตฺตานํ ปรมโวทานปฺปตฺตานํ, อุปธิวิเวโก จ นิรุปธีนํ ปุคฺคลานํ วิสงฺขารคตาน’’นฺติ (มหานิ. ๕๗). ทุวิธํ วีริยนฺติ กายิกํ, เจตสิกฺจ วีริยํ. สีลนฺติ จตุปาริสุทฺธิสีลํ. สมาธินฺติ วิปสฺสนาปาทกา อฏฺ สมาปตฺติโย. วิมุตฺติกถาติ วา อริยผลํ อารพฺภ ปวตฺตา กถา. เสสํ อุตฺตานเมว.

ทุติยเสขสุตฺตวณฺณนา นิฏฺิตา.

เถรวคฺควณฺณนา นิฏฺิตา.