📜
๑๒. โสฬสนิปาโต
๑. ปุณฺณาเถรีคาถาวณฺณนา
โสฬสนิปาเต ¶ ¶ อุทหารี อหํ สีเตติอาทิกา ปุณฺณาย เถริยา คาถา. อยมฺปิ ปุริมพุทฺเธสุ กตาธิการา ตตฺถ ตตฺถ ภเว วิวฏฺฏูปนิสฺสยํ กุสลํ อุปจินนฺตี วิปสฺสิสฺส ภควโต กาเล กุลเคเห นิพฺพตฺติตฺวา วิฺุตํ ปตฺวา เหตุสมฺปนฺนตาย สฺชาตสํเวคา ภิกฺขุนีนํ สนฺติกํ คนฺตฺวา ธมฺมํ สุตฺวา ลทฺธปฺปสาทา ปพฺพชิตฺวา ปริสุทฺธสีลา ตีณิ ปิฏกานิ อุคฺคเหตฺวา พหุสฺสุตา ธมฺมธรา ธมฺมกถิกา จ อโหสิ. ยถา จ วิปสฺสิสฺส ภควโต สาสเน, เอวํ สิขิสฺส เวสฺสภุสฺส กกุสนฺธสฺส โกณาคมนสฺส กสฺสปสฺส ¶ จ ภควโต สาสเน ปพฺพชิตฺวา สีลสมฺปนฺนา พหุสฺสุตา ธมฺมธรา ธมฺมกถิกา จ อโหสิ. มานธาตุกตฺตา ปน กิเลเส สมุจฺฉินฺทิตุํ นาสกฺขิ. มาโนปนิสฺสยวเสน กมฺมสฺส กตตฺตา อิมสฺมึ พุทฺธุปฺปาเท อนาถปิณฺฑิกสฺส เสฏฺิโน ฆรทาสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติ, ปุณฺณาติสฺสา นามํ อโหสิ. สา สีหนาทสุตฺตนฺตเทสนาย (ม. นิ. ๑.๑๔๖ อาทโย) โสตาปนฺนา หุตฺวา ปจฺฉา อุทกสุทฺธิกํ พฺราหฺมณํ ทเมตฺวา เสฏฺินา สมฺภาวิตา หุตฺวา เตน ภุชิสฺสภาวํ ปาปิตา ตํ ปพฺพชฺชํ อนุชานาเปตฺวา ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสนาย กมฺมํ กโรนฺตี น จิรสฺเสว สห ปฏิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิ. เตน วุตฺตํ อปทาเน (อป. เถรี ๒.๔.๑๘๔-๒๐๓) –
‘‘วิปสฺสิโน ภควโต, สิขิโน เวสฺสภุสฺส จ;
กกุสนฺธสฺส มุนิโน, โกณาคมนตาทิโน.
‘‘กสฺสปสฺส จ พุทฺธสฺส, ปพฺพชิตฺวาน สาสเน;
ภิกฺขุนี สีลสมฺปนฺนา, นิปกา สํวุตินฺทฺริยา.
‘‘พหุสฺสุตา ธมฺมธรา, ธมฺมตฺถปฏิปุจฺฉิกา;
อุคฺคเหตา จ ธมฺมานํ, โสตา ปยิรุปาสิตา.
‘‘เทเสนฺตี ¶ ชนมชฺเฌหํ, อโหสึ ชินสาสเน;
พาหุสจฺเจน เตนาหํ, เปสลา อภิมฺิสํ.
‘‘ปจฺฉิเม ¶ จ ภเว ทานิ, สาวตฺถิยํ ปุรุตฺตเม;
อนาถปิณฺฑิโน เคเห, ชาตาหํ กุมฺภทาสิยา.
‘‘คตา อุทกหาริยํ, โสตฺถิยํ ทิชมทฺทสํ;
สีตฏฺฏํ โตยมชฺฌมฺหิ, ตํ ทิสฺวา อิทมพฺรวึ.
‘‘อุทหารี อหํ สีเต, สทา อุทกโมตรึ;
อยฺยานํ ทณฺฑภยภีตา, วาจาโทสภยฏฺฏิตา.
‘‘กสฺส พฺราหฺมณ ตฺวํ ภีโต, สทา อุทกโมตริ;
เวธมาเนหิ คตฺเตหิ, สีตํ เวทยเส ภุสํ.
‘‘ชานนฺตี วต มํ โภติ, ปุณฺณิเก ปริปุจฺฉสิ;
กโรนฺตํ ¶ กุสลํ กมฺมํ, รุนฺธนฺตํ กตปาปกํ.
‘‘โย จ วุฑฺโฒ ทหโร วา, ปาปกมฺมํ ปกุพฺพติ;
ทกาภิเสจนา โสปิ, ปาปกมฺมา ปมุจฺจติ.
‘‘อุตฺตรนฺตสฺส อกฺขาสึ, ธมฺมตฺถสํหิตํ ปทํ;
ตฺจ สุตฺวา ส สํวิคฺโค, ปพฺพชิตฺวารหา อหุ.
‘‘ปูเรนฺตี อูนกสตํ, ชาตา ทาสิกุเล ยโต;
ตโต ปุณฺณาติ นามํ เม, ภุชิสฺสํ มํ อกํสุ เต.
‘‘เสฏฺึ ตโตนุชาเนตฺวา, ปพฺพชึ อนคาริยํ;
น จิเรเนว กาเลน, อรหตฺตมปาปุณึ.
‘‘อิทฺธีสุ ¶ จ วสี โหมิ, ทิพฺพาย โสตธาตุยา;
เจโตปริยาณสฺส, วสี โหมิ มหามุเน.
‘‘ปุพฺเพนิวาสํ ชานามิ, ทิพฺพจกฺขุ วิโสธิตํ;
สพฺพาสวปริกฺขีณา, นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว.
‘‘อตฺถธมฺมนิรุตฺตีสุ, ปฏิภาเน ตเถว จ;
าณํ เม วิมลํ สุทฺธํ, พุทฺธเสฏฺสฺส วาหสา.
‘‘ภาวนาย ¶ มหาปฺา, สุเตเนว สุตาวินี;
มาเนน นีจกุลชา, น หิ กมฺมํ วินสฺสติ.
‘‘กิเลสา ฌาปิตา มยฺหํ…เป… กตํ พุทฺธสฺส สาสน’’นฺติ.
อรหตฺตํ ปน ปตฺวา อตฺตโน ปฏิปตฺตึ ปจฺจเวกฺขิตฺวา อุทานวเสน –
‘‘อุทหารี อหํ สีเต, สทา อุทกโมตรึ;
อยฺยานํ ทณฺฑภยภีตา, วาจาโทสภยฏฺฏิตา.
‘‘กสฺส พฺราหฺมณ ตฺวํ ภีโต, สทา อุทกโมตริ;
เวธมาเนหิ คตฺเตหิ, สีตํ เวทยเส ภุสํ.
‘‘ชานนฺตี วต มํ โภติ, ปุณฺณิเก ปริปุจฺฉสิ;
กโรนฺตํ กุสลํ กมฺมํ, รุนฺธนฺตํ กตปาปกํ.
‘‘โย ¶ จ วุฑฺโฒ ทหโร วา, ปาปกมฺมํ ปกุพฺพติ;
ทกาภิเสจนา โสปิ, ปาปกมฺมา ปมุจฺจติ.
‘‘โก ¶ นุ เต อิทมกฺขาสิ, อชานนฺตสฺส อชานโก;
‘ทกาภิเสจนา นาม, ปาปกมฺมา ปมุจฺจติ’.
‘‘สคฺคํ นูน คมิสฺสนฺติ, สพฺเพ มณฺฑูกกจฺฉปา;
นาคา จ สุสุมารา จ, เย จฺเ อุทเก จรา.
‘‘โอรพฺภิกา สูกริกา, มจฺฉิกา มิคพนฺธกา;
โจรา จ วชฺฌฆาตา จ, เย จฺเ ปาปกมฺมิโน;
ทกาภิเสจนา เตปิ, ปาปกมฺมา ปมุจฺจเร.
‘‘สเจ อิมา นทิโย เต, ปาปํ ปุพฺเพ กตํ วหุํ;
ปฺุมฺปิ มา วเหยฺยุํ เต, เตน ตฺวํ ปริพาหิโร.
‘‘ยสฺส พฺราหฺมณ ตฺวํ ภีโต, สทา อุทกโมตริ;
ตเมว พฺรหฺเม มากาสิ, มา เต สีตํ ฉวึ หเน.
‘‘กุมฺมคฺคปฏิปนฺนํ มํ, อริยมคฺคํ สมานยิ;
ทกาภิเสจนา โภติ, อิมํ สาฏํ ททามิ เต.
‘‘ตุยฺเหว ¶ สาฏโก โหตุ, นาหมิจฺฉามิ สาฏกํ;
สเจ ภายสิ ทุกฺขสฺส, สเจ เต ทุกฺขมปฺปิยํ.
‘‘มากาสิ ปาปกํ กมฺมํ, อาวิ วา ยทิ วา รโห;
สเจ จ ปาปกํ กมฺมํ, กริสฺสสิ กโรสิ วา.
‘‘น เต ทุกฺขา ปมุตฺยตฺถิ, อุเปจฺจาปิ ปลายโต;
สเจ ภายสิ ทุกฺขสฺส, สเจ เต ทุกฺขมปฺปิยํ.
‘‘อุเปหิ สรณํ พุทฺธํ, ธมฺมํ สงฺฆฺจ ตาทินํ;
สมาทิยาหิ สีลานิ, ตํ เต อตฺถาย เหหิติ.
‘‘อุเปมิ ¶ สรณํ พุทฺธํ, ธมฺมํ สงฺฆฺจ ตาทินํ;
สมาทิยามิ สีลานิ, ตํ เม อตฺถาย เหหิติ.
‘‘พฺรหฺมพนฺธุ ปุเร อาสึ, อชฺชมฺหิ สจฺจพฺราหฺมโณ;
เตวิชฺโช เวทสมฺปนฺโน, โสตฺติโย จมฺหิ นฺหาตโก’’ติ. –
อิมา ¶ คาถา อภาสิ.
ตตฺถ อุทหารีติ ฆเฏน อุทกํ วาหิกา. สีเต ตทา อุทกโมตรินฺติ สีตกาเลปิ สพฺพทา รตฺตินฺทิวํ อุทกํ โอตรึ. ยทา ยทา อยฺยกานํ อุทเกน อตฺโถ, ตทา ตทา อุทกํ ปาวิสึ, อุทกโมตริตฺวา อุทกํ อุปเนสินฺติ อธิปฺปาโย. อยฺยานํ ทณฺฑภยภีตาติ อยฺยกานํ ทณฺฑภเยน ภีตา. วาจาโทสภยฏฺฏิตาติ วจีทณฺฑภเยน เจว โทสภเยน จ อฏฺฏิตา ปีฬิตา, สีเตปิ อุทกโมตรินฺติ โยชนา.
อเถกทิวสํ ปุณฺณา ทาสี ฆเฏน อุทกํ อาเนตุํ อุทกติตฺถํ คตา. ตตฺถ อทฺทส อฺตรํ พฺราหฺมณํ อุทกสุทฺธิกํ หิมปาตสมเย มหติ สีเต วตฺตมาเน ปาโตว อุทกํ โอตริตฺวา สสีสํ นิมุชฺชิตฺวา มนฺเต ชปฺปิตฺวา อุทกโต อุฏฺหิตฺวา อลฺลวตฺถํ อลฺลเกสํ ปเวธนฺตํ ทนฺตวีณํ วาทยมานํ. ตํ ทิสฺวา กรุณาย สฺโจทิตมานสา ตโต นํ ทิฏฺิคตา วิเวเจตุกามา ‘‘กสฺส, พฺราหฺมณ, ตฺวํ ภีโต’’ติ คาถมาห. ตตฺถ กสฺส, พฺราหฺมณ, ตฺวํ กุโต จ นาม ภยเหตุโต ภีโต หุตฺวา สทา ¶ อุทกโมตริ สพฺพกาลํ สายํ ปาตํ อุทกํ โอตริ. โอตริตฺวา จ เวธมาเนหิ กมฺปมาเนหิ คตฺเตหิ สรีราวยเวหิ สีตํ เวทยเส ภุสํ สีตทุกฺขํ อติวิย ทุสฺสหํ ปฏิสํเวทยสิ ปจฺจนุภวสิ.
ชานนฺตี วต มํ โภตีติ, โภติ ปุณฺณิเก, ตฺวํ ตํ อุปจิตํ ปาปกมฺมํ รุนฺธนฺตํ นิวารณสมตฺถํ กุสลํ กมฺมํ อิมินา อุทโกโรหเนน กโรนฺตํ มํ ชานนฺตี วต ปริปุจฺฉสิ.
นนุ อยมตฺโถ โลเก ปากโฏ เอว. กถาปิ มยํ ตุยฺหํ วทามาติ ทสฺเสนฺโต ‘‘โย จ วุฑฺโฒ’’ติ คาถมาห. ตสฺสตฺโถ – วุฑฺโฒ วา ทหโร วา มชฺฌิโม วา โย โกจิ หึสาทิเภทํ ปาปกมฺมํ ¶ ปกุพฺพติ อติวิย กโรติ, โสปิ ภุสํ ปาปกมฺมนิรโต ทกาภิเสจนา สินาเนน ตโต ปาปกมฺมา ปมุจฺจติ อจฺจนฺตเมว วิมุจฺจตีติ.
ตํ สุตฺวา ปุณฺณิกา ตสฺส ปฏิวจนํ เทนฺตี ‘‘โก นุ เต’’ติอาทิมาห. ตตฺถ โก นุ เต อิทมกฺขาสิ, อชานนฺตสฺส ¶ อชานโกติ กมฺมวิปากํ อชานนฺตสฺส เต สพฺเพน สพฺพํ กมฺมวิปากํ อชานโต อชานโก อวิทฺทสุ พาโล อุทกาภิเสจนเหตุ ปาปกมฺมโต ปมุจฺจตีติ, อิทํ อตฺถชาตํ โก นุ นาม อกฺขาสิ, น โส สทฺเธยฺยวจโน, นาปิ เจตํ ยุตฺตนฺติ อธิปฺปาโย.
อิทานิสฺส ตเมว ยุตฺติอภาวํ วิภาเวนฺตี ‘‘สคฺคํ นูน คมิสฺสนฺตี’’ติอาทิมาห. ตตฺถ นาคาติ วิชฺฌสา. สุสุมาราติ กุมฺภีลา. เย จฺเ อุทเก จราติ เย จฺเปิ วาริโคจรา มจฺฉมกรนนฺทิยาวตฺตาทโย จ, เตปิ สคฺคํ นูน คมิสฺสนฺติ เทวโลกํ อุปปชฺชิสฺสนฺติ มฺเ, อุทกาภิเสจนา ปาปกมฺมโต มุตฺติ โหติ เจติ อตฺโถ.
โอรพฺภิกาติ อุรพฺภฆาตกา. สูกริกาติ สูกรฆาตกา. มจฺฉิกาติ เกวฏฺฏา. มิคพนฺธกาติ มาควิกา. วชฺฌฆาตาติ วชฺฌฆาตกมฺเม นิยุตฺตา.
ปฺุมฺปิ มา วเหยฺยุนฺติ อิมา อจิรวติอาทโย นทิโย ยถา ตยา ปุพฺเพ กตํ ปาปํ ตตฺถ อุทกาภิเสจเนน สเจ วหุํ นีหเรยฺยุํ, ตถา ตยา กตํ ปฺุมฺปิ อิมา นทิโย วเหยฺยุํ ปวาเหยฺยุํ. เตน ตฺวํปริพาหิโร ¶ อสฺส ตถา สติ เตน ปฺุกมฺเมน ตฺวํ ปริพาหิโร วิรหิโตว ภเวยฺยาติ น เจตํ ยุตฺตนฺติ อธิปฺปาโย. ยถา วา อุทเกน อุทโกโรหกสฺส ปฺุปวาหนํ น โหติ, เอวํ ปาปปวาหนมฺปิ น โหติ เอว. กสฺมา? นฺหานสฺส ปาปเหตูนํ อปฺปฏิปกฺขภาวโต. โย ยํ วินาเสติ, โส ตสฺส ปฏิปกฺโข. ยถา อาโลโก อนฺธการสฺส, วิชฺชา จ อวิชฺชาย, น เอวํ นฺหานํ ปาปสฺส. ตสฺมา นิฏฺเมตฺถ คนฺตพฺพํ ‘‘น อุทกาภิเสจนา ปาปโต ปริมุตฺตี’’ติ. เตนาห ภควา –
‘‘น อุทเกน สุจี โหติ, พหฺเวตฺถ นฺหายตี ชโน;
ยมฺหิ สจฺจฺจ ธมฺโม จ, โส สุจี โส จ พฺราหฺมโณ’’ติ. (อุทา. ๙; เนตฺติ. ๑๐๔);
อิทานิ ¶ ยทิ ปาปํ ปวาเหตุกาโมสิ, สพฺเพน สพฺพํ ปาปํ มา กโรหีติ ทสฺเสตุํ ‘‘ยสฺส, พฺราหฺมณา’’ติ คาถมาห. ตตฺถ ตเมว พฺรหฺเม มากาสีติ ยโต ปาปโต ตฺวํ ภีโต, ตเมว ปาปํ พฺรหฺเม, พฺราหฺมณ, ตฺวํ มา อกาสิ. อุทโกโรหนํ ปน อีทิเส สีตกาเล เกวลํ สรีรเมว พาธติ ¶ . เตนาห – ‘‘มา เต สีตํ ฉวึ หเน’’ติ, อีทิเส สีตกาเล อุทกาภิเสจเนน ชาตสีตํ ตว สรีรจฺฉวึ มา หเนยฺย มา พาเธสีติ อตฺโถ.
กุมฺมคฺคปฏิปนฺนํ มนฺติ ‘‘อุทกาภิเสจเนน สุทฺธิ โหตี’’ติ อิมํ กุมฺมคฺคํ มิจฺฉาคาหํ ปฏิปนฺนํ ปคฺคยฺห ิตํ มํ. อริยมคฺคํ สมานยีติ ‘‘สพฺพปาปสฺส อกรณํ, กุสลสฺส อุปสมฺปทา’’ติ (ที. นิ. ๒.๙๐; ธ. ป. ๑๘๓; เนตฺติ. ๓๐, ๑๑๖, ๑๒๔; เปฏโก. ๒๙) อิมํ พุทฺธาทีหิ อริเยหิ คตมคฺคํ สมานยิ, สมฺมเทว อุปเนสิ, ตสฺมา โภติ อิมํ สาฏกํ ตุฏฺิทานํ อาจริยภาคํ ตุยฺหํ ททามิ, ตํ ปฏิคฺคณฺหาติ อตฺโถ.
สา ตํ ปฏิกฺขิปิตฺวา ธมฺมํ กเถตฺวา สรเณสุ สีเลสุ จ ปติฏฺาเปตุํ ‘‘ตุยฺเหว สาฏโก โหตุ, นาหมิจฺฉามิ สาฏก’’นฺติ วตฺวา ‘‘สเจ ภายสิ ทุกฺขสฺสา’’ติอาทิมาห. ตสฺสตฺโถ – ยทิ ตุวํ สกลาปายิเก สุคติยฺจ อผาสุกตาโทภคฺคตาทิเภทา ทุกฺขา ภายสิ. ยทิ เต ตํ อปฺปิยํ น อิฏฺํ. อาวิ วา ปเรสํ ปากฏภาเวน อปฺปฏิจฺฉนฺนํ ¶ กตฺวา กาเยน วาจาย ปาณาติปาตาทิวเสน วา ยทิ วา รโห อปากฏภาเวน ปฏิจฺฉนฺนํ กตฺวา มโนทฺวาเรเยว อภิชฺฌาทิวเสน วา อณุมตฺตมฺปิ ปาปกํ ลามกํ กมฺมํ มากาสิ มา กริ. อถ ปน ตํ ปาปกมฺมํ อายตึ กริสฺสสิ, เอตรหิ กโรสิ วา, ‘‘นิรยาทีสุ จตูสุ อปาเยสุ มนุสฺเสสุ จ ตสฺส ผลภูตํ ทุกฺขํ อิโต เอตฺโต วา ปลายนฺเต มยิ นานุพนฺธิสฺสตี’’ติ อธิปฺปาเยน อุเปจฺจ สฺจิจฺจ ปลายโตปิ เต ตโต ปาปโต มุตฺติ โมกฺขา นตฺถิ, คติกาลาทิปจฺจยนฺตรสมวาเย สติ วิปจฺจเต เอวาติ อตฺโถ. ‘‘อุปฺปจฺจา’’ติ วา ปาโ, อุปฺปติตฺวาติ อตฺโถ. เอวํ ปาปสฺส อกรเณน ทุกฺขาภาวํ ทสฺเสตฺวา อิทานิ ปฺุสฺส กรเณนปิ ตํ ทสฺเสตุํ ‘‘สเจ ภายสี’’ติอาทิ วุตฺตํ. ตตฺถ ตาทินนฺติ ทิฏฺาทีสุ ตาทิภาวปฺปตฺตํ. ยถา วา ปุริมกา สมฺมาสมฺพุทฺธา ปสฺสิตพฺพา, ตถา ปสฺสิตพฺพโต ตาทิ, ตํ ¶ พุทฺธํ สรณํ อุเปหีติ โยชนา. ธมฺมสงฺเฆสุปิ เอเสว นโย. ตาทีนํ วรพุทฺธานํ ธมฺมํ, อฏฺนฺนํ อริยปุคฺคลานํ สงฺฆํ สมูหนฺติ โยชนา. ตนฺติ สรณคมนํ สีลานํ สมาทานฺจ. เหหิตีติ ภวิสฺสติ.
โส ¶ พฺราหฺมโณ สรเณสุ สีเลสุ จ ปติฏฺาย อปรภาเค สตฺถุ สนฺติเก ธมฺมํ สุตฺวา ปฏิลทฺธสทฺโธ ปพฺพชิตฺวา ฆเฏนฺโต วายมนฺโต น จิรสฺเสว เตวิชฺโช หุตฺวา อตฺตโน ปฏิปตฺตึ ปจฺจเวกฺขิตฺวา อุทาเนนฺโต ‘‘พฺรหฺมพนฺธู’’ติ คาถมาห.
ตสฺสตฺโถ – อหํ ปุพฺเพ พฺราหฺมณกุเล อุปฺปตฺติมตฺเตน พฺรหฺมพนฺธุ นามาสึ. ตถา อิรุพฺเพทาทีนํ อชฺเฌนาทิมตฺเตน เตวิชฺโช เวทสมฺปนฺโน โสตฺติโย นฺหาตโก จ นามาสึ. อิทานิ สพฺพโส พาหิตปาปตาย สจฺจพฺราหฺมโณ ปรมตฺถพฺราหฺมโณ, วิชฺชตฺตยาธิคเมน เตวิชฺโช, มคฺคาณสงฺขาเตน เวเทน สมนฺนาคตตฺตา เวทสมฺปนฺโน, นิตฺถรสพฺพปาปตาย นฺหาตโก จ อมฺหีติ. เอตฺถ จ พฺราหฺมเณน วุตฺตคาถาปิ อตฺตนา วุตฺตคาถาปิ ปจฺฉา เถริยา ปจฺเจกํ ภาสิตาติ สพฺพา เถริยา คาถา เอว ชาตาติ.
ปุณฺณาเถรีคาถาวณฺณนา นิฏฺิตา.
โสฬสนิปาตวณฺณนา นิฏฺิตา.